สวัสดีค่ะ เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ในฉบับที่ผ่านๆ มา ได้พูดคุยเกี่ยวกับการเรียกรับเงินเพื่อให้ได้ย้าย ซึ่งในห้วงเวลาที่มีการพิจารณาย้ายมักได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเรียกรับเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้ย้าย ดิฉันขอย้ำว่าการเรียกรับเงินดังกล่าวเป็นความผิดทั้งวินัยและอาญา
ในครั้งนี้ ดิฉันขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาบอกเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ โดยมีข้อเท็จจริงว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งและภริยา ได้ติดต่อกับนางวงและนายบุญ (นามสมมุติ) ผู้สอบขึ้นบัญชีตำแหน่งครูผู้ช่วยได้และรอเรียกบรรจุ ที่ร้านอาหารริมน้ำ ข้างสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัด โดยกล่าวอ้างว่าผู้ใหญ่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้มาพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียกบรรจุแต่งตั้ง โดยผู้ที่จะได้รับการเรียกตัวต้องเสียค่าใช้จ่ายรายละ 50,000 บาท ถ้าไม่รีบตกลงก็จะไม่มีโอกาสอีก เพราะเขาจะปิดบัญชีที่สอบขึ้นไว้แล้ว ทั้งนางวงและนายบุญขอกลับไปคิดดูก่อน และต่อมาผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้ก็ได้โทรศัพท์แจ้งเปลี่ยนแปลงยอดเงินกับนางวงและนายบุญอีกหลายครั้ง โดยเพิ่มวงเงินจากเดิม 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท และ 150,000 บาท ตามลำดับ และหลังจากได้มีการเรียกรับเงินแล้ว นางวงและนายบุญได้ปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะซ้อนแผนจับกุม แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้รู้ตัวเสียก่อน จึงไม่ได้รับเงินตามที่ได้นัดหมายกันไว้ (รอดคดีอาญาไปได้) แต่ถูกร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาและถูกดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง ทางเขตพื้นที่การศึกษาลงโทษเพียงตัดเงินเดือน 1 ขั้น ซึ่งเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และรายงานการลงโทษมายัง ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณา ตามมาตรา 104(2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547
อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ที่ทำการแทน ก.ค.ศ.) พิจารณาแล้วมีมติให้ผู้บังคับบัญชาเพิ่มโทษผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้จากโทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น เป็นโทษไล่ออกจากราชการตามมาตรา 90 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เพราะพฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม โดยมีความมุ่งหมายจะให้เป็นการซื้อขายหรือให้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้ถูกเพิ่มโทษเป็นโทษไล่ออก ก็ได้อุทธรณ์คำสั่งเพิ่มโทษดังกล่าวต่อ ก.ค.ศ. ก.ค.ศ.พิจารณาแล้วมีมติให้ยกอุทธรณ์ หลังจากนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้ได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ดิฉันหวังว่าจะเป็นข้อเตือนใจเพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ให้เป็นผู้รักษาเกียรติศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย คิดดี ทำดี ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยถูกต้อง เป็นธรรม เพื่อประโยชน์แก่ราชการ แล้วพบกันใหม่วันจันทร์หน้าค่ะ
ศิริพร กิจเกื้อกูล
เลขาธิการ ก.ค.ศ.
ที่มา มติชน วันที่ 26 มกราคม 2558