รอบปีที่ผ่านมาสถานการณ์แวดวงการศึกษาไทยตกอยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2556 และด้วยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลถึง 2 ครั้ง ยิ่งทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายการศึกษาชะงักงันและไม่ต่อเนื่อง เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องขานรับและปฏิบัติตามแนวคิดของเจ้ากระทรวงคนใหม่
หากมองในฝั่งของภาคเอกชนที่ทำธุรกิจการศึกษาส่วนใหญ่แล้วก่อนหน้านี้จะบอกว่าแม้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านการเมืองอยู่บ้าง แต่ไม่เจ็บตัวเท่าไรนัก
เนื่องจากคนมักมองเห็นว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ สำหรับชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตการเมืองมาเกือบ 2 ปี บวกกับเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่อง จึงทำให้ผลกระทบจาก
ทั้งสองปัจจัยค่อย ๆ สั่งสมและซึมลึก พ่นพิษสู่ธุรกิจการศึกษาครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "ประชาชาติธุรกิจ" จึงประมวล 5 สถานการณ์จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผลสืบเนื่องและเป็นทิศทางที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2558
หนึ่ง กวดวิชาอ่วมเตรียมโดนรีดภาษี เป็นประเด็นร้อนของทุกปี เพราะสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะชงเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในทุกรัฐบาลให้กระทรวงการคลังเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาโดยเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2557 ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการที่ ป.ป.ช.เสนอมา และให้ ศธ.ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำเป็นรายละเอียดในการปฏิบัติ เพื่อเสนอกลับมายัง ครม.อีกครั้งภายใน 30 วัน
ผลเช่นนี้จึงมีผลต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของ ศธ.ที่เกี่ยวข้องโดยตรง หากดูจากทีท่าของเลขาธิการ "บัณฑิต ศรีพุทธางกูร" เหมือนจะตกอยู่ในภาวะอีหลักอีเหลื่อ โดยเขาบอกว่าที่ผ่านมาเคยมีการหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยกันแล้วหลายครั้ง และกรมสรรพากรมีข้อสรุปว่าไม่ควรเก็บ เพราะจะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ต้องจ่ายค่าเรียนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สช.ต้องดำเนินการตามคำสั่งของ ครม.โดยเห็นว่าหากต้องเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาจริง ๆ คงต้องดูจากรายได้เป็นหลัก หากถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้จึงค่อยเสียภาษี ขณะที่ฟากของโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิเสธการเสียภาษี แต่ต้องการความชัดเจนว่าจะเก็บภาษีในรูปแบบใด และจัดเก็บกับกลุ่มโรงเรียนเอกชนประเภทใดบ้าง ทั้งนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่าข้อสรุปจากรัฐจะเป็นอย่างไรในปลายเดือน ม.ค.นี้
สอง บูมโรงเรียนนานาชาติ การก้าวสู่ประชาคมอาเซียนหลังสิ้นเดือน ธ.ค. 2558 จะเป็นการเปิดมิติใหม่ด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้ปกครองต่างก็ให้ความสำคัญถึงประเด็นนี้อย่างมาก โดยคนที่มีกำลังทรัพย์สูงเลือกที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติ เพื่อเตรียมวางรากฐานชีวิตให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยจะมีโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่ปีละ 3-5 แห่ง และมีแนวโน้มเปิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รองรับจำนวนนักเรียนที่มากขึ้นจากทั้งเด็กไทยและต่างชาติ ซึ่งไม่เพียงแต่โรงเรียนนานาชาติสัญชาติไทย ยังมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาชิมลาง อาจเพราะมองเห็นว่าทำเลที่ตั้งของไทยน่าจะเป็นฮับทางการศึกษาของเอเชียในอนาคต
อย่างนักลงทุนจาก เครือเอบีซี พาทเวย์ส กรุ๊ป (ABC Pathways Group) ฮ่องกง ที่เข้ามาเปิดโรงเรียนอนุบาลนานาชาติเอบีซีพาทเวย์ส ที่ซอยสุขุมวิท 31 ทั้งยังมีแผนเปิดสอนระดับประถมศึกษาเพิ่มที่ซอยสุขุมวิท15 ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ฝั่งผู้เล่นรายเก่า อย่างโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ ซึ่งมี 2 แคมปัส ทั้งที่เขาใหญ่และกรุงเทพฯ ก็มีแผนโยกแคมปัสกรุงเทพฯ ที่อยู่บนพื้นที่ 22 ไร่ บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิตไปยังพื้นที่ใหม่ รองรับนักเรียนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 คนโดยพื้นที่ใหม่จะอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ
สาม สถาบันสอนภาษาอังกฤษรับอานิสงส์เปิดเออีซี นอกเหนือจากการเปิดประชาคมอาเซียนจะทำให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความสนใจมากขึ้น ยังส่งผลให้ตลาดธุรกิจสถาบันสอนภาษาอังกฤษกระเตื้องขึ้นอีกด้วย เพราะเมื่อมิติของพรมแดนเลือนหายไป การติดต่อสื่อสารและการทำงานกับประเทศอื่นต้องอิงภาษากลางอย่างภาษาอังกฤษเป็นหลัก นั่นหมายความว่าผู้ใหญ่วัยทำงานต้องพัฒนาทักษะด้านภาษาของตัวเอง
ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมา สถาบันภาษาหลายแห่งขยายสาขาเพิ่มเติม เช่น สถาบันภาษาอีซีซี (ECC) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 44 สาขา ก็ขยายสาขาเพิ่มเติมปีละ 3-4 แห่ง ขณะที่โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษเอ็นคอนเซ็ปต์ อี อคาเดมี (En-concept E-Academy) ก็เห็นโอกาสของตลาดส่วนนี้ จึงขยายการดำเนินงานมาสู่ธุรกิจเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ทั้งการฟังพูด อ่าน เขียน ด้วยการเปิดแบรนด์ Qualish ที่จะจับกลุ่มนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษา และเตรียมเปิดแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่
สี่ มหาวิทยาลัยแห่เปิดแคมปัสใหม่ มหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนเดินหน้าลงทุนเพิ่ม ทั้งรีโนเวตแคมปัสเดิมให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงขยายแคมปัสแห่งใหม่ โดยมหาวิทยาลัยศิลปากรจะเปิดซิตี้แคมปัสที่เมืองทองธานี สำหรับรองรับนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในปีการศึกษา 2558 หลังจากที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 3 แคมปัส ขณะที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีมาสเตอร์แพลนรีโนเวตมหาวิทยาลัยด้วยการทุบตึกเก่าเพื่อสร้างเป็นตึกสูง 3-4 ตึก พร้อมเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักศึกษา ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตเตรียมเปิดแคมปัสแห่งที่ 2 บนพื้นที่ 500 ไร่ ใน อ.เมือง จ.นครปฐม ใช้งบประมาณเบื้องต้น500 ล้านบาท โดยจะย้ายวิทยาลัยนวัตกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ไปเปิดสอนก่อน
ห้า ค่ายใหม่ ๆ กระโดดจัดงานมหกรรมการศึกษา ปกติแล้วงานมหกรรมการศึกษาที่จัดเป็นประจำทุกปี คืองานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู (Educa) ที่มีบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เป็นแม่งาน หรืองานที่จัดทุก ๆ สองปี อย่างเวิลด์ไดแด็ค เอเชีย ของสมาคมเวิลด์ไดแด็ค ที่จัดงานร่วมกับบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด
อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด บริษัทในเครือของค่ายอักษรเจริญทัศน์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสื่อการเรียนการสอนได้จัด "การสัมมนาผู้นำทางการศึกษาแห่งประเทศไทย" เป็นงานที่ให้ผู้กำหนดนโยบาย, ผู้บริหารสถานศึกษา และครูได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรับฟังแนวทางความสำเร็จของการศึกษาจากประเทศชั้นนำ
ฉะนั้น การกระโดดเข้ามาจับตลาดการศึกษาของอักษร เอ็ดดูเคชั่นครั้งนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าตลาดด้านมหกรรมการศึกษาของไทยยังมีช่องว่างอยู่ และถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่หอมหวนน่าลิ้มลองด้วยคนจำนวนมากที่อยู่ในระบบการศึกษา ตั้งแต่ผู้อำนวยการ, ครู อาจารย์, นักเรียน นักศึกษา เป็นต้น
หากบริษัทสามารถเข้าไปจับตลาดคนกลุ่มนี้ได้ ย่อมหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะตามมาในภายหลัง
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 2 ม.ค. 2558