เคยนึกภาพตัวเองตอนอายุ 35 กันดูไหมว่าถ้าถึงตอนนั้นแล้วชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนกันนะ ซึ่งหากใครที่กำลังบ่นว่านี่ก็อายุมากกว่า 35 แล้วนะ แต่ทำไมชีวิตทุกวันนี้ขยันทำงานมากเท่าไรก็ยังไม่รวยสมใจสักที ดังนั้นลองมาสำรวจตัวเองกันหน่อยดีไหมว่ามีนิสัยขี้เกียจอะไรอยู่นะ ถึงไม่ประสบความสำเร็จสักที
เราอาจเคยได้ยินกันมาบ้างว่าคนอายุน้อยก็เป็นซีอีโอได้ แต่ก็มีบางคนที่อายุมากแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควร ซึ่งก็เป็นเพราะโอกาสในชีวิตของคนเราไม่เท่ากันนั่นเอง แล้วเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าคนที่ทำงานเก่ง ๆ จนได้เป็นซีอีโอตั้งแต่อายุยังน้อยเนี่ยเขามีนิสัยในการทำงานอย่างไร ถ้าเริ่มอยากรู้แล้วก็ลองมาแอบดูนิสัยของคนวัย 35 จากเว็บไซต์ mashable.com และเราก็เชื่อว่าหากใครลองเปลี่ยนมาทำตามดูชีวิตในหน้าที่การงานจะราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน
1. สำรวจความรู้ของตัวเอง
คนที่ประสบความสำเร็จรุ่นใหญ่หลายคนก็ไม่ได้เรียนจบปริญญามาแต่ทำไมถึงรวยได้ ก็เพราะเขามีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งนั่นเอง และนำความรู้ที่มีอยู่ก็ทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นเลิกตั้งคำถามให้ตัวเองสักทีได้แล้วว่าทำไมถึงไม่รวย ให้เปลี่ยนมาถามตัวเองดีกว่าว่าเราเก่งเรื่องอะไรมากที่สุด
2. รู้จุดแข็งตัวเอง
เป็นนิสัยที่ตัวเราควรคิดตกตะกอนให้เร็วที่สุดว่าเราถนัดเรื่องอะไร ซึ่งจุดแข็งนี่แหละจะเป็นคำตอบให้กับคุณเองว่าควรหันเหชีวิตไปทางไหน ดังนั้นในแต่ละวันที่ลืมตื่นขึ้นมาก็อย่าลืมถามตัวเองว่า วันนี้เราต้องพัฒนาตัวเองอะไรบ้าง
3. รู้จุดอ่อนตัวเอง
ข้อที่แล้วพูดถึงสิ่งที่คุณถนัด ในข้อนี้ลองหันกลับมามองสิ่งที่ไม่ถนัดบ้าง ซึ่งสิ่งที่ไม่ถนัดถือเป็นจุดอ่อนที่สามารถฉุดความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของคุณได้ ดังนั้นทุกครั้งที่มีการนำเสนอผลงานของตัวเอง ก็อย่าลืมขอคำติชมด้วย คุณจะได้รู้ว่าต้องปรับปรุงในเรื่องอะไร
4. เรียนรู้ที่จะเป็นตัวแทนของใคร
นิสัยในข้อนี้ฟังดูอาจร้ายกาจไปหน่อย เพราะดูเหมือนจะสอนให้เราหัดเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่นซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นซะทีเดียวนะ นิสัยข้อนี้ควรทำเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เราขาดไปนั่นเอง เช่น หัวหน้าคุณเป็นคนทำงานเก่งมาก บริหารงานได้คล่องแคล่วไปหมด คุณก็ควรแอบจำวิชาเขามาฝึกปรือบ้าง ดีไม่ดีคุณอาจจะเหนื่อยกับงานน้อยลง เพราะรู้ทันสไตล์การทำงานของหัวหน้านั่นเอง
5. คว้าทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต
หลายคนต้องพลาดโอกาสเรื่องงานไปเพียงเพราะการต่อรองไม่ได้อย่างใจต้องการ แทนที่จะใช้โอกาสที่ได้รับนั้นแสดงความสามารถของตัวเอง ค่อยไปต่อรองให้ได้ในสิ่งที่ต้องการในทีหลัง ดังนั้นเมื่อมีคนหยิบยื่นโอกาสให้เราได้แสดงฝีมือก็อย่าเรียกร้องอะไรมากนักควรนำใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ดีกว่า
6. เลือกทำในสิ่งที่คุณรู้สึกภูมิใจ
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่จะภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างมาก เขาจะสามารถเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดจนเห็นภาพได้เลยว่างานที่เขาทำเป็นอย่างไร ดังนั้น หยุดค้นหางานที่คิดว่าน่าจะทำแก้ขัดไปก่อนได้ แต่ควรหางานที่คิดว่าคุณสามารถเต็มที่กับมันได้จะดีกว่า เพราะคุณจะมีความตั้งใจให้งานออกมาดี
7. เรียนรู้จากข้อผิดพลาด ไม่ใช่จากสิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้ว
คนที่มีผลงงานสร้างชื่อมากมายมักจะไม่ชื่นชมกับความสำเร็จเหล่านั้นมากนัก แต่จะหันไปสนใจกับสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ เพราะพวกเขาต้องการเรียนรู้ปัญหาใหม่ ๆ นั่นเอง ดังนั้นหากสิ่งไหนที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ควรนำกลับมาทบทวนตัวเองว่า มีอะไรบ้างที่เราทำดีแล้ว และมีอะไรบ้างที่เราควรทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
8. หาเวลาออกไปท่องเที่ยวบ้าง
การที่ขยันทำงานโดยที่เคยไม่ลาป่วย ลากิจ หรือลาพักร้อนเลย บางครั้งเจ้านายก็ไม่ได้ปลาบปลื้มใจเท่าไรนัก เพราะนั่นกำลังหมายถึงว่าพนักงานคนนี้ไม่คิดจะเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิตบ้าง ดังนั้นใช้สิทธิ์วันหยุดของตัวเองแล้วออกไปท่องโลกกว้างบ้างก็ได้ อย่างน้อยมันก็จะช่วยเติมพลังให้คุณมีไฟในการทำงาน
9.ปรับตัวเข้ากับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ประสบการณ์แย่ ๆ จากการทำงานที่เคยเจอมาอาจทำให้คุณจำฝังใจและไม่อยากเจอะเจออีกเลยในชาตินี้ เช่น ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบเจ้านาย หรือแม้แต่ไม่ชอบบรรยากาศในออฟฟิศ จนกลายเป็นว่าเมื่อไรที่คุณรู้สึก "ไม่ใช่" ขึ้นมา ก็คิดหาทางจะหนีไปหาสิ่งใหม่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกที่ก็มีปัญหาเหมือนกันหมด ดังนั้นลองปรับตัวเข้ากับสิ่งนั้นดูก่อน อาจทำให้รู้ว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
10. รับฟังคอมเม้นท์เรื่องงานอย่างเป็นกลาง
ฟีดแบ็กเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณรู้ว่าคุณเป็นที่ยอมรับมากแค่ไหนในสายตาคนอื่น ดังนั้นอย่ากลัวที่จะอ่านคอมเม้นท์จากคนอื่น เพราะคอมเม้นท์ทั้งหมดเป็นตัวสะท้อนจุดบอดที่คุณทำพลาดไป ถือเป็นข้อดีนะ เพราะเมื่อไรที่คุณก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งใหญ่ขึ้นคงไม่มีใครบอกให้รู้ตัวกันหรอก
11. รู้จักนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ
นิสัยในข้อนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงความเป็นผู้นำที่แฝงอยู่ในตัวคุณ ดังนั้นเมื่อไรที่คุณผุดไอเดียใหม่ ๆ ก็นำเสนอออกมาบ้าง คนอื่นจะได้เห็นว่าคุณมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ
12. รู้จักที่จะปฏิเสธซะบ้าง
คำว่า "ไม่" สำหรับน้องใหม่ไฟแรงอาจจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณมีงานล้นมือ คาดว่าเคลียร์ไม่ทัน ก็ควรใช้คำนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวคุณเองมีการบริหารจัดการงานของตัวเองในระดับหนึ่งนะ แต่ไม่ใช่ว่าเอะอะก็ปฏิเสธไว้ก่อนโดยที่ยังไม่ได้ดูความเป็นไปได้เลย อันนั้นก็คงดูไม่งามค่ะ
13. สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจบ้าง
การเข้าสังคมกับที่ทำงานจำเป็นอย่างมาก ถือเป็นกิจกรรมที่บ่งบอกว่าคุณก็มีตัวตนอยู่ในบริษัท แต่ก็ไม่ต้องถึงกับต้องตีซี้กับคนในออฟฟิศไปทั่วหรอก นัดกินข้าวกับคนที่คลิกกับคุณจริง ๆ เท่านั้นก็พอ อย่างน้อยเวลาเกิดปัญหาเรื่องงานก็ยังมีเพื่อน ๆ คอยให้คำปรึกษา
14. ควรมีผู้ใหญ่ไว้ปรึกษาเรื่องงาน
เบื้องหลังของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนมักจะมีกุนซือหนุนหลังกันแทบทุกคน เพราะคนที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะมักจะมองอะไรออกกว่าคนประสบการณ์น้อย ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเราเป็นเพียงพนักงานระดับปฏิบัติการตัวเล็ก ๆ ก็ควรมีผู้ใหญ่ที่พร้อมจะให้คำปรึกษาเอาไว้บ้างเพื่อคอยให้คำแนะนำ คอยเตือนว่าอะไรทำแล้วดี อะไรไม่ควรทำ
15.วางตัวให้ดีบนโซเชียลมีเดีย
แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างไร ข้อมูลก็สามารถถูกแฮคข้อมูลได้อยู่ดี ดังนั้นควรใช้พื้นที่ตรงนี้ทำแต่เรื่องดี ๆ ดีกว่า เช่น การแชร์ข่าวที่มีสาระ โพสต์เรื่องราวที่น่าติดตาม รวมถึงการใช้คำพูดสุภาพ การทำแบบนี้จะทำให้ผู้อื่น
16. รู้จักใช้ LinkedIn สร้างคอนเน็กชั่น
ลิงค์อิน (LikedIn) เป็นเว็บไซต์สื่อกลางด้านธุรกิจ ที่ส่วนใหญ่จะมีแต่คนที่โปรไฟล์เริด ๆ ใช้งานกัน ดังนั้น หากต้องการยกระดับคุณภาพตัวเอง ก็ลองใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้ดู แล้วจะพบว่ามันช่วยสร้างคอนเน็กชั่นให้คุณได้มากทีเดียว อีกทั้งยังทำให้คุณรับรู้ข่าวสารแวดวงธุรกิจก่อนใครอีกด้วย
17. อัพเดทพอร์ตงานของตัวเองเสมอ
ในบางสายงานก็จะพิจารณาจากประสบการณ์เป็นหลัก ซึ่งพอร์ตงานจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยการันตีได้ถึงความสามารถของคุณ และยังช่วยนำทางไปสู่โอกาสการงานที่รุ่งโรจน์ในเวลาต่อมา ดังนั้นควรอัพเดทผลงานของตัวเองอยู่เสมอ และเลือกเก็บผลงานเฉพาะที่คุณคิดว่าเจ๋งจริงเท่านั้นก็พอ
18. รู้วิธีขายตัวเอง
หากคุณไม่พูดโฆษณาตัวเองก็คงไม่ใครรู้ได้ว่าคุณทำอะไรเป็นบ้าง ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าจุดแข็งของเราคืออะไร ใช้สกิลตรงนี้เป็นจุดขายซะเลย ซึ่งถ้าคุณสามารถพูดเชียร์ตัวเองได้อย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด คนฟังก็จะเชื่อมั่นตามไปด้วยว่าคุณมีความสามารถจริง แต่ก็อย่าโม้เกินจริงล่ะ ถ้าเกิดทำไม่ได้อย่างที่พูดจะยุ่งเอา
19.รู้วิธีต่อรองเงินเดือนในฝัน
หลายคนอาจต้องพลาดงานที่ตัวเองอยากทำเพียงเพราะต่อรองเงินเดือนไม่เป็น ซึ่งความจริงแล้วไม่ยากเลยเพียงแค่เสนอเงินเดือนให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน หากคุณเจ๋งกว่ามาตรฐานที่เขากำหนดก็อาจเรียกเงินเดือนสูงกว่านี้นิดหน่อยได้ อย่างไรก็ตามอย่าเรียกเงินเดือนน้อยไปจนดูเหมือนเราไม่มีทางเลือก
20. ไม่ดองงาน
ไม่ว่าสไตล์การทำงานของใครจะเป็นอย่างไรก็มักจะมีปลายทางเหมือนกันคือ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ ซึ่งบางคนอาจมีอารมณ์อินดี้ไปบ้างคือจะทำงานเมื่ออยากทำเท่านั้น ทำให้งานมากองไม่ถูกเคลียร์ไปเป็นวันต่อวัน ดังนั้นลองใช้วิธีของคนมือโปรที่เขาทำกันก็คือ รีบจัดการให้เสร็จก่อนกำหนดเวลา เผื่อเวลาเอาไว้แก้ไขนั่นเอง
21.รายงานความคืบหน้าเรื่องงานตลอด
อีเมลเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันได้ว่าคุณทำงานอะไรไปแล้วบ้าง ดังนั้นไม่ว่าระบบงานจะยืดหยุ่นแค่ไหน คุณก็ควอีเมลแจ้งหัวหน้าเป็นรายวันว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง ถึงแม้เขาจะไม่เปิดอ่านก็ตาม อย่างน้อย ๆ ถ้าใครมาหาว่าคุณไม่ทำงาน คุณก็จะได้มีหลักฐานไปงัดกับเขานะ
22.รู้วิธีแสดงความเสียใจ
ในการสมัครงานก็เหมือนการเดินเข้าสนามรบอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ดังนั้นคุณก็ควรรู้วิธีแสดงความเสียใจกับผู้แพ้อย่างถูกต้องด้วย เช่น ถ้าคุณได้ตอบรับเข้าทำงาน ในขณะที่ผู้สมัครอีกคนไม่ได้ คุณก็ควรมีคำพูดให้กำลังใจเขาสักหน่อย ดีกว่าโบกมือบาย ๆ พร้อมคำพูดว่า "เสียใจด้วย"
23.เตรียมอุปกรณ์ทำงานพร้อมใช้เสมอ
มันคงดูไม่ดีเท่าไรนัก ถ้าคุณมาทำงานในสภาพที่หลง ๆ ลืม ๆ สิ่งของที่จำเป็นต่อการทำงาน ทำให้ต้องหยิบยืมเพื่อนข้างโต๊ะ ซึ่งบ่อยครั้งเข้าเขาต้องรู้สึกไม่ดีแน่ ดังนั้นควรทำลิสต์รายการเลยว่าในแต่ละเดือนมีอะไรบ้างที่คุณต้องใช้ทำงาน การมีอุปกรณ์ครบแบบนี้จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างไหลลื่น ไม่ต้องเสียเวลาเดินขอยืมใคร
24. รู้ข้อจำกัดในร่างกายตัวเอง
สุขภาพกับคนทำงานเป็นของคู่กัน และยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย เพราะในแต่ละวันที่คุณออกแรงทำงานก็เหมือนกับการใช้จ่ายสุขภาพไปทีละน้อยด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรหาเวลาฟิตร่างกายบ้างเพื่อให้พร้อมกับการทำงานบ้าง
25.ให้ความสำคัญกับการนอน
เรื่องงานมักจะเบียดเบียนเวลานอนของเราได้เสมอ ดังนั้นคุณก็ควรตั้งเหล็กให้กับตัวเองเลยว่าจะเข้านอนเวลาไหน และต้องนอนให้ได้กี่ชั่วโมง เพราะการนอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายมีสมาธิเพียงพอในการทำงานด้วยนะ
26.รู้วิธีจัดการกับความเครียด
ความเครียดเป็นตัวศัตรูตัวฉกาจสำหรับร่างกายของเรา เมื่อไรที่รู้สึกเครียดแล้ว ร่างกายแย่ลง จิตใจก็ห่อเหี่ยวไม่อยากทำอะไรตามไปด้วย ดังนั้นควรหาวิธีเฉพาะตัวสักหนึ่งอย่างเอาไว้สู้รบปรบมือกับความเครียดที่ชอบมาเยือน เช่น ออกไปเดินเล่น ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น
27. ไม่พูดขอโทษพร่ำเพรื่อ
คำว่าขอโทษเป็นสิ่งที่คนสุภาพเขาทำกันก็จริง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ คงโดนสงสัยว่าคุณเป็นพวกติ๋ม ไม่สู้คนแน่ ดังนั้นพูดขอโทษกับเรื่องที่เราทำผิดจริงดีกว่านะ ส่วนทำผิดพลาดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ใช้คำว่า "จะแก้ไขทันทีครับ/ค่ะ" แทนแล้วกัน น่าจะเหมาะสมกว่าเนอะ
28. ไม่ขโมยไอเดียคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกก็เกิดขึ้นมาจากการลอกเลียนแบบกันไปมาทั้งนั้น แต่สำหรับเรื่องงานแล้วการลอกเลียนงานคนอื่นเป็นเรื่องน่าเกลียดอย่างมาก ควรเอามาปรับเปลี่ยนใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปบ้าง ดังนั้นถ้าหากจำเป็นต้องทำจริง ๆ ก็นำมาใช้เป็นแนวทางได้ แต่ถ้าลอกมาทั้งดุ้นก็คงไม่ไหวนะ
29. มีแผนสำรองในชีวิตเสมอ
คนที่มีประสบการณ์ในชีวิตมาในระดับหนึ่ง จะค้นพบว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องมองหาหลักประกันชีวิตในด้านอื่นเอาไว้ด้วย เช่น การทำประกันชีวิต ดังนั้นถ้าหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัวลงตัวดีแล้ว ก็อย่าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ต้องหันมาวางแผนรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เอาไว้ด้วย
30.หารายได้เสริม
รู้หรือไม่ว่างานประจำที่ทำอยู่ก็ช่วยให้เรามีรายได้เสริมได้เหมือนกันถ้าคุณรู้จักพลิกแพลงวิธีนิดหน่อย เช่น ถ้าคุณเป็นที่ปรึกษาการตลาดอยู่แล้ว ก็อาจจะลองบริหารกิจการออนไลน์เล็ก ๆ ดูบ้างดีไม่ดีอาจทำกำไรมากกว่างานประจำที่ทำอยู่ แถมยังได้ความรู้จากการลงมือทำจริงด้วย
31.วางแผนชีวิตตัวเองในวัยเกษียณ
หากคุณอยู่ในวัยเพิ่มเริ่มทำงานประจำขอแนะนำว่าให้เก็บเงินให้ได้มากที่สุด อย่าเพิ่งคิดเอาเงินไปลงทุนอะไร เพราะในช่วงการใช้ชีวิตวัยทำงานแรก ๆ ยังไม่มีภาระหนี้สินเท่าไรนัก เมื่อทำงานไปได้สัก 2-3 ปี ถึงตอนนั้นจะเอาเงินมาลงทุนก็ยังไม่สาย ส่วนใครที่มีอายุงานมากแล้วก็ขอให้วางแผนชีวิตในวัยเกษียณของตัวเอง หยุดหาหนี้สินเพิ่มได้แล้ว เพราะแก่ตัวไปจะไม่มีแรงทำงานปลดหนี้เอาน่ะสิ
32. เพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
หลายคนทำงานหนักเพราะหวังว่าอนาคตจะสบาย เลยไม่ค่อยตอบแทนรางวัลอะไรให้ตัวเองมากนัก ซึ่งหากใครที่ไม่รู้จะให้รางวัลอะไรตัวเอง ก็ลองลงทุนกับตัวเองดูด้วยการสมัครคอร์สเรียนพิเศษ เช่น เรียนภาษา เรียนทำขนม หรือเรียนงานฝีมือ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้จะทำให้เรามีรายได้เสริมทีหลัง
33. คืนกำไรสู่สังคม
ส่วนใหญ่นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะมองถึงเรื่องการคืนกำไรให้สังคม เช่น การตั้งกองทุนบริจาค เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตามค่ายต่าง ๆ เป็นต้น เพราะพวกเขาคิดว่าได้จากสังคมมามากพอแล้ว ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราก็สามารถทำได้โดยการบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยเหลือโครงการเพื่อการกุศลบ้าง
34.ค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เราจะเห็นคนดังที่ประสบความสำเร็จแล้ว บั้นปลายชีวิตกลับผันตัวเองไปทำในสิ่งที่แทบไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ทำแล้วมีความสุข นั่นอาจเป็นเพราะว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาลืมมองหาความสุขที่ใช่สำหรับตัวเอง ดังนั้นเราก็ใช้คติในข้อนี้มาเป็นบทเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการกำหนดเป้าหมายเอาไว้ด้วยว่าจะทำงานไปถึงเมื่อไหร่ และหลังจากนั้นจะทำอะไรต่อ เพราะมันเป็นสัจธรรมที่ว่าบทบาทในสังคมของเราย่อมมีวันหมดอายุ
35. ให้รางวัลตัวเองทุกวัน
ในแต่ละวันเราอาจไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักได้แบบเต็มเวลา แต่เราก็สามารถแบ่งเวลาไปทำในสิ่งที่เรารักได้นี่นา โดยการแบ่งเวลาสัก 2 ชั่วโมง ด้วยการดูหนังโปรดสักเรื่อง หรือกินข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละครั้ง เพื่อปลดปล่อยความเครียด เป็นการชาร์จพลังใจให้เราอยากตื่นมาทำงานในทุกวัน
ขอบคุณที่มาจาก กระปุก.คอม