ช่วงที่แตงกวาออกดอกจะแลดูสวยงามไม่แพ้พันธุ์ไม้ปลูกเพื่อประดับชนิดดอกแบบไม้เลื้อยทั่วไป
แตงกวาเป็นพืชผสมข้ามตามธรรมชาติโดยอาศัยลมและแมลง มีดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกดอกแต่อยู่ภายในต้นเดียวกัน เป็นพืชฤดูเดียว เถาเลื้อยหรือขึ้นค้างระบบรากเป็นระบบรากแก้ว มีรากแขนงเป็นจำนวนมากสามารถแผ่ทางด้านกว้างและหยั่งลงได้ลึกถึง 1 เมตร
ลำต้นเป็นเถาเลื้อย เป็นเหลี่ยม มีขนขึ้นปกคลุมทั่วไป มือเกาะเกิดออกมาตามข้อ โดยส่วนปลายของมือเกาะไม่มีการแตกแขนงเป็นหลายเส้น ใบมีก้านใบยาว 5-15 ซม. ดอกเพศเมียและเพศผู้บานในตอนเช้าและพร้อมผสมเกสร ดอกจะหุบตอนบ่ายภายในวันเดียวกัน ผลของแตงกวามีลักษณะกลมยาวทรงกระบอก มีไส้ภายในผล สำหรับการปลูกเพื่อบริโภคข้างบ้านควรปลูกแตงกวาพันธุ์สำหรับรับประทานสด เป็นพันธุ์ที่มีเนื้อบางและไส้ใหญ่ สีเปลือกเขียวอ่อน ผลมีน้ำมากเป็นพันธุ์ที่มีทั้งผลเล็กและผลใหญ่ เมื่อผลยังอ่อนอยู่จะมีหนาม เมื่อโตหนามจะหลุดออกเอง
มี 2 ประเภทคือ 1.แตงผลยาว หรือแตงร้าน ซึ่งมีความยาวผลอย่างน้อย 15 ซม. กว้างกว่า 2.5 ซม. ส่วนใหญ่จะมีเนื้อหนาไส้แคบ พันธุ์ไทยสีผลเขียวแก่ตรงส่วนใกล้ขั้วผล ส่วนพันธุ์ของต่างประเทศจะมีสีเขียวเข้มสม่ำเสมอทั้งผล 2. แตงผลสั้น ที่รู้จักกันในชื่อของแตง กวา มีความยาวผล 8-12 ซม. กว้างกว่า 2.5 ซม. ส่วนใหญ่จะมีเนื้อน้อยไส้กว้าง
การเตรียมดินปลูกควรยกร่องสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร เพื่อ ให้สะดวกในการระบายน้ำ ปลูกได้ทั้งวิธีการหยอดเมล็ดโดยตรงและเพาะ กล้าก่อนแล้วย้ายปลูก การหยอดเมล็ดโดยตรงนั้นอาจจะมีความสะดวกในการปลูก แต่มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองเมล็ด ส่วนวิธีเพาะกล้าก่อน จะประหยัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลรักษาง่าย ต้นกล้ามีความสม่ำเสมอ แต่ต้องเตรียมพื้นที่เพาะกล้าก่อน
สำหรับการปลูกจากต้นกล้าเวลาย้ายกล้าควรเป็นช่วงประมาณ 17.00 น. จะทำให้ต้นกล้าสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า หลังจากย้ายกล้าลงปลูกในแปลงแล้ว ต้องให้น้ำทันที ด้วยการให้ตามร่อง ไม่ให้โดนลำต้นและใบ เพราะจะทำให้ต้นและใบไม่ชื้น ลดปัญหาโรคพืชได้ เมื่อต้นแตงกวาเริ่มเจริญเติบโตจึงปรับช่วงเวลาการให้น้ำให้นานขึ้น แต่ความชื้นในดินไม่สูงเกินไปจนกลายเป็นแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าได้ จึงนับเป็นพืชอายุสั้นให้ผลผลิตเร็วและใช้น้ำน้อยชนิดหนึ่งที่เหมาะต่อการปลูกช่วงหน้าแล้งหรือบริเวณข้างบ้าน
ช่วงที่แตงกวาออกดอกจะแลดูสวยงามไม่แพ้พันธุ์ไม้ปลูกเพื่อประดับชนิดดอกแบบไม้เลื้อยทั่วไป ที่ดีกว่าหน่อยหนึ่งก็ตรงที่มีผลนำมารับประทานได้ และให้คุณค่าต่อร่างกายอีกด้วย.
ขอบคุณที่มาจาก เดลินิวส์