Advertisement
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com
จากเด็กจนโต จนพร้อมที่จะทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ยุคนี้คงจะต้องใช้เวลาประมาณ 19 ปี คือเรียนอนุบาล 3 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี และอุดมศึกษาประมาณ 4 ปี ซึ่งระยะเวลาที่ผมบอกมานี้ นักเรียนทุกคนล้วนแต่อยู่ในระบบการทดสอบ โดยมี "ข้อสอบ" เป็นตัวชี้วัดหลัก (Key Performance Indicators-KPIs) ว่าจะมีความสามารถ "เลื่อนชั้น" ขึ้นไปเรียนในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ ซึ่งเรา-ท่านล้วนแต่เคยผ่านระบบอย่างนี้มาทั้งสิ้น
แถมยังเชื่อว่าถ้าใครสอบผ่านได้คะแนนสูงเมื่อเรียนจบจะไปทำงานแล้วจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำงานเก่งฯลฯ จนเกิดค่านิยมในหลายองค์กรที่เวลาจะพิจารณารับคนเข้าทำงานจะดูจากสถาบันการศึกษาที่จบมาบ้าง ดูจากเกรดเฉลี่ยบ้าง
คือถ้าผู้สมัครคนไหนจบจากสถาบันการศึกษาชื่อดัง หรือจบมาด้วยเกรดที่สูง จะพิจารณารับเข้าทำงานอย่างง่ายดาย และตั้งเงินเดือนให้สูงกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆที่ไม่ได้จบสถาบันที่บริษัทกำหนด หรือมีเกรดเฉลี่ยไม่ถึงเกียรตินิยม โดยใช้ตรรกะเชื่อมโยงแบบ Halo Effect (Search คำว่า "Halo Effect กับการบริหารงานบุคคล" ในกูเกิลนะครับ ผมเคยเขียนไว้แล้ว)
ผลคือหลายครั้งที่ความเชื่อแบบนี้เกิดการคัดเลือกคนที่ผิดพลาดเข้ามาทำงานในองค์กร !
เพราะคนเรียนเก่งสามารถสอบผ่านวิชาใด ๆ ก็ตามได้คะแนนสูง หรือจบจากสถาบันชื่อดัง ก็ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จแบบที่จะเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจะทำงานเก่งและประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานระยะยาวไปด้วยเสมอนะซิครับแล้วอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จในการทำงาน ?
Competency คือคำตอบครับ...
อธิบายแบบง่าย ๆ คือ ถ้าคนคนไหนสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ (Knowledge-K) ที่มีอยู่ในตัวเอง, ใช้ทักษะ (Skills-S) ที่มีอยู่ในตัวเอง และตำแหน่งงานนั้น ๆ ต้องการคนที่มีทักษะ หรือความชำนาญในงานแบบนั้น และใช้คุณลักษณะภายใน (Attributes-A) ที่คนคนนั้นมีอยู่ในตัวเอง เช่น งานในตำแหน่งนี้ต้องการคนที่มีความละเอียดรอบคอบ, ต้องการคนที่มีความรับผิดชอบสูง, ต้องการคนอดทน ฯลฯ
เห็นไหมครับว่า K S A เหล่านี้มันจะต้องมาเรียนรู้และเพิ่มพูนเอาจากการทำงานจริงแทบทั้งหมด !
โธ่ ! ก็การทำงานไม่ใช่การท่องตำราไปเพื่อสอบให้ผ่านนี่ครับ...แต่ต้องการคนที่สามารถประยุกต์เรื่องต่าง ๆ ในงานมาสู่ภาคปฏิบัติได้จริงต่างหาก
พูดง่าย ๆ ว่าคนที่จะทำงานแล้วประสบความสำเร็จคือคนที่มี K S A ในตัวเอง และสามารถประยุกต์ใช้ K S Aที่มีอยู่ในตัวเองให้เหมาะกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ คนคนนั้นจะสามารถเติบโตก้าวหน้า ประสบความสำเร็จในงานที่ทำนั้นได้เป็นอย่างดี และเป็นคนที่องค์กรต้องการ ซึ่งเราก็จะเรียกว่า คนคนนั้นมี "Competency" นั่นเองครับ
ส่วนผลการสอบ, เกรดเฉลี่ย, สถาบันที่จบนั้นจะใช้เพียงแค่เป็นข้อมูลในการสมัครงานตอนที่เพิ่งจบใหม่เท่านั้น เมื่อประสบการณ์ทำงานเริ่มมากขึ้นผมว่าคงไม่มีใครนำเอาเกรดเฉลี่ย, สถาบันที่จบ มาพิจารณาร่วมกับผลการปฏิบัติงานเพื่อนำไปขึ้นเงินเดือนหรือจ่ายโบนัสอย่างแน่นอน
การสอบวิชาต่าง ๆ นั้นจะใช้วัดผลได้ก็ตอนเรียนหนังสือเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะมาวัดสัมฤทธิผลในเรื่องการเรียนได้นอกจากการสอบ
แต่เหตุใดเมื่อเข้ามาสู่โลกการทำงานองค์กรหลายแห่งจึงยังไปยึดติดกับ "การสอบ" สมัยเรียนมาคาดคะเน แถมคิดมโนไปว่า ถ้าเด็กคนไหนมีผลการทดสอบ (ไม่ว่าจะเป็นวิชาใด ๆ ขณะเรียนหนังสือ) ที่ได้คะแนนสูงแล้วจะประสบความสำเร็จในการทำงานไปด้วยละครับ ?
แถมยังไปให้เงินเดือน (ของคนที่สอบได้คะแนนสูงหรือจบจากสถาบันที่บริษัทกำหนดไว้) สูงกว่าพนักงานคนอื่น ๆ ที่จบคุณวุฒิเดียวกันเสียอีก (บางแห่งเขาเรียกค่าเกียรตินิยม) ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานพิสูจน์ฝีมือในการทำงานเลยด้วยซ้ำ
องค์กรที่มีนโยบายแบบนี้จะแน่ใจได้หรือไม่ครับว่าคนที่จบเกียรตินิยม "ทุกคน" จะทำงานแล้วประสบความสำเร็จ ก้าวหน้า มี Competency เหมาะกับงานที่เขารับผิดชอบ ส่วนคนที่จบ 2.00 หรือคนที่ไม่ได้จบจากสถาบันชื่อดังจะทำงานแล้วไม่ได้เรื่องขาด Competency และไม่มีวันที่จะก้าวหน้า หรือประสบความสำเร็จ ?
ที่ผมพูดมานี้ไม่ได้แปลว่าผมแอนตี้คนที่จบเกียรตินิยมหรือจบจากสถาบันดัง ๆ นะครับ แต่เพียงแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์และให้ข้อคิดในอีกมุมหนึ่ง เพื่อให้องค์กรได้หันกลับมาคิดทบทวนอย่างมีเหตุมีผล เพื่อไม่ให้ค่านิยมที่เป็น Halo Effect มาทำให้เกิดปัญหาการจ้างและรับคนเข้าทำงานด้วยตรรกะที่ไม่ถูกต้อง และยังจะทำให้เกิดปัญหาเชิงแรงงานสัมพันธ์ตามมาในอนาคต
เพราะถ้าจบมาคะแนนสูงแล้วทำงานได้ดีจริงจะได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่นคงไม่มีใครข้องใจ แต่จบมาคะแนนสูงแล้วทำงานสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ดันได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่นตั้งแต่ต้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ฝีมือน่ะมันมีแต่เสียกับเสียนะครับ
เสียแรกคือ บริษัทต้องจ่ายค่าจ้างแบบ Overpaid คือจ่ายเงินมากในขณะที่พนักงานทำงานไม่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป เสียที่สองคือ เสียความรู้สึกสำหรับพนักงานที่ทำงานดีแต่ไม่ได้จบมาได้เกรดสูง หรือไม่ได้จบมาจากสถาบันดัง ๆ แล้วเสียที่สามคือ ถ้าคนที่ทำงานดี (แต่ไม่ได้จบเกียรตินิยมหรือไม่ได้จบจากสถาบันชื่อดัง) รับไม่ได้ก็จะลาออกไปทำให้บริษัทเสียพนักงานที่ทำงานดีไปในที่สุด ฝากไว้เป็นข้อคิดกันดูสำหรับองค์กรที่ยังมีนโยบายทำนองนี้นะครับ
ขอบคุณที่มาจาก ประชาชาติธุรกิจ
HY300 โปรเจคเตอร์ 1080P 4K มินิโปรเจคเตอร์ Project Android 12.0 5G WIFI บลูทูธ รองรับการมิเรอร์หน้าจอ เชื่อมต่อกับมือถือ
฿940 - ฿2,699https://s.shopee.co.th/3LCRC5o6j5?share_channel_code=6
Advertisement
 เปิดอ่าน 22,628 ครั้ง  เปิดอ่าน 176,996 ครั้ง  เปิดอ่าน 14,684 ครั้ง  เปิดอ่าน 29,691 ครั้ง  เปิดอ่าน 8,325 ครั้ง  เปิดอ่าน 14,144 ครั้ง  เปิดอ่าน 42,571 ครั้ง  เปิดอ่าน 55,974 ครั้ง  เปิดอ่าน 39,835 ครั้ง  เปิดอ่าน 14,406 ครั้ง  เปิดอ่าน 44,070 ครั้ง  เปิดอ่าน 18,427 ครั้ง  เปิดอ่าน 20,431 ครั้ง  เปิดอ่าน 37,576 ครั้ง  เปิดอ่าน 22,092 ครั้ง  เปิดอ่าน 15,811 ครั้ง
|

เปิดอ่าน 217,491 ☕ คลิกอ่านเลย |

เปิดอ่าน 59,903 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 48,401 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 14,225 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 55,924 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 176,996 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 55,974 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ 
เปิดอ่าน 19,030 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 224,356 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 10,135 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 51,029 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 51,335 ครั้ง |
|
|