Advertisement
5 อันดับหนังตลกร้ายที่ผมชอบที่สุด
5 อันดับหนังแอ็คชั่นที่ผมชอบที่สุด
Create Date : |
Last Update |
|
|
อันดับ 5
The Transporter
หนังเซอไพรส์ฮิตที่ทำภาคต่อตามออกมาอีกเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 3 ภาคแล้ว ซึ่งโปรดิวเซอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เฮียลุค เบซงที่หากินกับหนังแอ็คชั่นมานานปี และนักแสดงชายที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของหนังแอ็คชั่นยุคนี้อย่างเจสัน สเตแทม ที่ผนึกกำลังกันสร้างคาแรกเตอร์แฟรงค์ มาร์ติน ตัวละครพูดน้อย ดุ ดิบ เคร่งกฏ แต่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อตัวนี้ขึ้นมา
หนังว่าด้วยแฟรงค์ มาร์ติน ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนส่งของ มีกฏในการส่งของนิดหน่อย และการันตีว่าของส่งถึงมือผู้รับแน่นอน ซึ่งกับพล็อตเรื่องง่ายๆเท่านี้ก็นำมาสู่เหตุการณ์วุ่นวายและตามมาด้วยการใช้กำลัง ( บางครั้งก็ใช้ความเทพของรถเฮียแฟรงค์ ) ในการแก้ปัญหาทุกคราไป ซึ่งแม้พล็อตมันจะเดิมๆทั้งสามภาค แต่ว่ามันก็เป็นหนังแอ็คชั่นเอามันส์ที่สนุกใช้ได้เลยสำหรับผม
ยิ่งถ้าดูหนังเรื่องนี้แบบไม่คิดอะไรมากมาย ไม่ต้องถามหาเหตุผล นั่งลุ้นไปกับการต่อสู้แบบมิกส์ มาเชียลอาร์ตของเฮียแฟรงค์ + หน้าตาสวยๆ หุ่นเซ็กส์ๆของนางเอกแต่ละภาคที่สลับกันมาสร้างสีสันให้เนื้อเรื่อง + ลีลาการขับรถที่เวอร์ได้ใจ เท่านี้ก็ได้หนังแอ็คชั่นชั้นดีไว้นอนดูสบายๆเรื่องนึง ( แต่มีถึง 3 ภาค ) แล้วหล่ะครับ
อันดับ 4
Taken
แค่คำโปรยที่แฮนด์บิลของหนังเรื่องนี้ ก็ทำเอาผมอยากตีตั๋วเข้าไปดูใจจะขาดแล้ว และอีกครั้งที่หนังเรื่องนี้เขียนบทโดยลุค เบซง ทำให้ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งว่า อย่างน้อยก็ไม่แย่ล่ะวะ แต่ที่น่ามหัศจรรย์กว่านั้นคือนอกจากหนังแอ็คชั่นที่มีพระเอกแก่ๆอย่างเลียม นีสัน และผู้กำกับหน้าใหม่อย่างปิแอร์ โมเรลจะไม่แย่แล้ว มันยังดีถึงขั้นเป็นหนังแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยดูมาเรื่องนึงเลยทีเดียว
หนังว่าด้วยไบรอัน มิลส์ ( เลียม นีสัน ) อดีต CIA ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นบอดีการ์ดให้คนดัง เซ็นสัญญาอนุญาติให้ลูกสาววัย 18 ของตัวเองเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสกับเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน ทั้งๆที่เป็นห่วงสุดๆตามประสาพ่อที่มีลูกสาวคนเดียว แล้วเรื่องก็เกิดจนได้เมื่อลูกสาวของเค้าโดนจับตัวไปโดยขบวนการค้าโสเภณีข้ามชาติ จากเบาะแสที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อดีต CIA อย่างไบรอันต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเดิมพันเพื่อตามหาลูกสาวของเค้ากลับมาให้ได้
พล็อตหนังเหมือนจะเป็นหนังทริลเลอร์นะครับ แต่ที่ไหนได้ บู๊ระห่ำ มันส์สะเด็ด ฉากแอ็คชั่นสลับกับฉากอื่นๆแบบฉากต่อฉากเลยทีเดียว บทหนังก็แข็งแรง ฉากต่อสู้ก็ทำได้ดี แถมมีประเด็นเกี่ยวกับการตามหาข้อมูลของลูกสาวจากสถานที่ต่างๆ ที่ทำออกมาได้ลุ้นระทึก และที่สำคัญที่สุดคือ ลุงเลียม นีสันเล่นหนังแอคชั่นแบบลืมแก่ อัดกับแก็งค์ค้ามนุษย์ได้อย่างสุดมันส์ เรียกได้ว่าเป็นหนังแอ็คชั่นที่โดดเด่นมากที่สุดเรื่องนึง และเชื่อว่าคอหนังแอ็คชั่นไม่มีผิดหวังกับ Taken เรื่องนี้แน่นอน
อันดับ 3
Kill Bill
หนังที่มีสองภาคก็เหมือนมีภาคเดียว เพราะเนื้อหาต่อเนื่องกัน หนังแอ็คชั่นสีสดใสของผู้กำกับเควนติน ทารันติโน่ ผู้กำกับเด็กแนวตัวจริงเสียงจริง ที่นำเอากิ๊กของตัวเองอูม่า เทอร์แมนมาแสดงบท The Bride เจ้าสาวคนสวยที่ไล่ตามฆ่าล้างแค้น "บิล" และพรรคพวกทีละคนๆ แถมหนังฮอลิวูด 100 % เรื่องนี้ยังทำเก๋ด้วยการใช้ดาบญี่ปุ่นในการต่อสู้ซะอีก เท่านี้ก็พอจะรู้ได้อย่างนึงแล้วครับว่า หนังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
เรื่องราวก็อย่างที่เล่าไปข้างต้นครับ The Bride ตามฆ่าบิลและพรรคพวกอีก 4 คน สั้นๆง่ายๆเท่านี้แหละครับ ในภาคแรกตามฆ่าไปซะสอง ภาคสองฆ่าต่ออีกสอง รวมทั้งได้เคลียร์บัญชีกับบิลในตอนจบเรื่อง หนังเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ แต่ทีไหนได้หนังแนวมากๆ นอกจากฉากแอ็คชั่นแล้ว ยังสลับเอาการ์ตูนมาใส่ ย้อนเอาเหตุการณ์ในอดีตมาใส่เป็นภาพขาวดำ อารมณ์ขันในบางช่วงบางจังหวะ และความเป็นแฟนตาซีของฉากการต่อสู้บางฉาก
นอกจากนี่จะเป็นหนังแอ็คชั่นชั้นเยี่ยมแล้ว แค่ชื่อหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ผมชอบตั้งแต่แรกเห็นแล้วหล่ะครับ Kill Bill นอกจากจะแปลทื่อๆว่า "ฆ่าไอ้บิลซะ" ยังแปลว่า "บัญชีการฆ่า" ได้อีกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะแปลอย่างไรก็เข้ากับเนื้อหาในเรื่องเหมือนกันหมดอยู่ดี สำหรับคนมองหาหนังแอ็คชั่นแปลกแหวกแนว อยากเห็นอูม่า เทอร์แมนหยิบดาบมาฟาดฟันศัตรูอย่างสุดเท่ อยากเห็นหนังโหดๆ มันส์ๆ คันๆ เจ็บๆ ขอแนะนำเลยครับสำหรับ Kill Bill ทั้งสองภาค
อันดับ 2
Die Hard
ถ้าพูดถึงหนังแอ็คชั่น แล้วไม่มี Die Hard ก็คงเหมือนกินเหล้าแล้วไม่มีโซดา น้ำแข็งยังไงยังงั้น เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นที่เป็นตำนานไปแล้ว และเป็นบทแจ้งเกิดเต็มตัวในฐานะพระเอกนักบู๊อีกหนึ่งคน ( ในยุคนั้น ) ของบรูซ วิลลิส นอกจากนี้ยังสร้างชื่อให้ผู้กำกับจอห์น แม็คเทียร์แนน จนกลับมาหากินได้ต่ออีก 2 ภาค แถมแฟนๆยังเหนียวแน่น กำไรบานทุกภาค แถมเมื่อปีสองปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ยังโผล่ออกจากหลุมมาทักทายแฟนๆรุ่นใหม่อีกครั้ง และยังได้รับการตอบรับจากแฟนๆเดนตายมากมายเหมือนเดิม
ผมคงไม่ต้องเล่าเรื่องย่อๆ เพราะทั้ง 4 ภาคที่ผ่านมา ล้วนมีพล็อตแค่ว่าตัวร้ายกระทำการบางอย่าง ( เช่น ยึดตึก ยึดสนามบิน ยึดเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ) แล้วคุณพี่จอห์น แม็คเคลน ( บรูซ วิลลัส ) จอมตายยากของเรา ก็พกปืนกระบอกเดียว ไล่ปราบตัวร้ายได้ทุกคราวไป แถมท้ายด้วยประโยคหากินของหนังเรื่องนี้ที่พูดมันทุกภาค แต่ก็ช่วยให้หนังเพิ่มความมันส์ระห่ำกว่าเดิม นั่นคือประโยค " Yippee-ki-yay, Motherfucker " !!!
ก็ไม่รู้จะพูดอะไรถึงหนังเรื่องนี้มากมาย เพราะเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเคยได้ยินคำร่ำลือมาตามสมควร และอาจผ่านตามาบ้างแล้วบางภาค ดังนั้นผมก็คงจะบอกแค่ว่า หนังเรื่องนี้ฉากแอ็คชั่นสนุก เอฟเฟคสมจริง ดูเพลิน หมดเวลาไปโดยไม่รู้ตัว บรูซ วิลลิสแสดงได้ดีจริงๆ ตัวร้ายแต่ละภาคก็ไม่ใช่ขี้ๆ นอกจากฉากยิงกันแล้วก็ยังมีฉากสู้กันด้วยหมัดลุ่นๆอีกประปราย แถมไม่ได้มีแต่ฉากแอ็คชั่นตีรันฟันยิง ฉากการสืบสวนสอบสวน ฉากโรแมนติค หรือฉากฮาๆก็พอมีให้เห็นบ้างเป็นระยะเช่นกัน ... อ้าว นี่ขนาดกะจะพิมพ์ต่ออีกนิดเดียวนะเนี่ย ( ^ ^ ) เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้ดูก็ลองหามาดูกันนะครับ โดยเฉพาะภาค 1 ต้นตำรับ ขอซูฮกให้จริงๆว่า สุดยอดดด ~ ด
อันดับ 1
Face / Off
สุดยอดหนังแอ็คชั่นของจอห์น วู ที่นอกจากจะมันส์สุดๆ ไฮเทคสุดๆ เพลินสุดๆ ลงทุนสุดๆแล้ว ยังได้สองพระกาฬของฮอลิวูดอย่างจอห์น ทราโวลต้าและนิโคลัส เคจ ที่ผลัดกันแสดงบทตำรวจ - โจร ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และพลังดารา + บทที่เขียนออกมาได้ดี + ผู้กำกับเก่งๆ + ฉากแอ็คชั่นที่สุดยอดหาใดเทียบ + การหักมุมไปหักมุมมา + การใส่ประเด็นความรักของคนในครอบครัวลงไปแฝงในหนังแอ็คชั่นได้อย่างกลมกล่อม + ปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ Face / Off กลายเป็นสุดยอดหนังแอ็คชั่นที่ผมชอบที่สุดไปโดยปริยาย
เรื่องนี้เล่าเรื่องย่อลำบากนิดหน่อย หนังว่าด้วยตำรวจระดับสูงชอน อาเชอร์ ( ทราโวลต้า ) จับตัวผู้ร้ายระดับบิ๊กเนมอย่างแคสเตอร์ ทรอย ( เคจ ) ไว้ได้ แต่ก็ทำให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึน ทรอยหน้าเสียโฉม ส่วนชอนสลบไป ทรอยจึงต้องเข้าห้องปลูกถ่ายอวัยวะก่อนส่งเข้าซังเตในรพ.เดียวกับชอน แต่ในคืนนั้น ทรอยดันฟื้นขึ้นมา แล้วบังคับให้หมอใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สลับผิวหน้าของเค้ากับชอนจำสำเร็จ หลังจากได้หน้าใหม่มาแล้ว ทรอย ( ที่มีหน้าเป็นชอน ) ก็กลายมาเป็นตำรวจแทนที่ชอน ขณะที่ชอนก็ต้องหาทางหนีออกจากคุก และพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่า ตัวเองโดนเปลี่ยนหน้ากับทรอย
งงมั้ยครับ ฮ่าๆๆ ผมอาจจะเป็นนักเล่าที่ไม่ค่อยเก่งนัก แต่เรื่องรสนิยมในการดูหนังนี่พอจะเชื่อถือได้นะครับ สั้นๆง่ายๆว่าหนังเรื่องนี้สุดยอดจริงๆ ครบรส ดูสนุกตลอด 2 ชั่วโมง 15 นาที และเป็นหนังแอ็คชั่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดารา ทั้งทราโวลต้ากับเคจสองคนก็แบกทั้งเรื่องเอาไว้แล้วครับ ทั้งคู่สุดยอดและกินกันไม่ลง หนำซ้ำยังช่วยเสริมกันและกันให้หนังเรื่องนี้ดียิ่งขึ้นไปอีก พูดมากเดี๋ยวจะหาว่าผมขี้โม้ ลองมองหาหนังเรื่องนี้มานั่งเปิดดูชิลๆที่บ้านนะครับ แล้วจะรู้ว่าเวลา 2 ชั่วโมง 15 นี่มันช่างผ่านไปเร็วจริงๆครับ
5 อันดับหนังดรามาที่จบแบบโศกนาฏกรรมที่ผมชอบที่สุด
อันดับ 5
There will be blood
หนังออสการ์ของพอล โทมัส แอนเดอร์สัน ที่ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสดูหนังของเค้ามาสองเรื่อง คือ Punch Drunk Love หนังรักเพี้ยนๆ และ Magnolia ที่ทำเอาผมงงอยู่นานสองนาน แค่เครดิตของพี่พอลในการทำหนังสองเรื่องนี้ ผมก็พอจะรู้แล้วหล่ะ ว่า There will be blood นี่ไม่ธรรมดาแน่ๆ ยิ่งกว่าจะเข้าโรงที่ไทย เมืองนอกประกาศเป็นตัวเต็งบนเวทีออสการ์ไปแล้วด้วย ผมยิ่งอยากดูหนังเรื่องนี้สุดๆ
There will be blood ว่าด้วยเรื่องของคนเห็นแก่ได้สองคน ระหว่างพ่อค้าน้ำมันจอมเห็นแก่ตัวแดเนียล เพลนวิล ( แดเนียล เดย์ ลูอิส ) กับหมอสอนศาสนาจอมฉ้อฉลอีไล ซันเดย ( พอล ดาโน ) ทั้งคู่เป็นพวกเห็นแก่ตัวเหมือนกัน คนหนึงทำนาบนหลังคน ต่อหน้าดูเป็นคนดี รักลูกรักพวกพ้อง แต่ลับหลังกลับทำได้ทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง อีกคนหนึ่งเอาความเชื่อและศาสนามาหลอกหาเป็นเครื่องมือหากินให้ตัวเองได้รับความนับถือและศรัทธา แล้วเรื่องราวก็เริ่มต้นเมื่อทั้งสองคนนี้ได้มาเจอกัน ...
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูแล้วอึดอัดมากๆเรื่องนึง ทั้งภาพ เสียง และการกระทำของตัวละครหลักทั้งสองตัวในเรื่อง ขนาดว่าผมดูหนังประเภทนี้มาเยอะพอสมควร แต่พอมาดู 2 ชั่วโมงครึ่งของ There will be blood เข้าไปต้องยอมจริงๆครับ เพราะดูจบแล้วดูดพลังงานในร่างกายออกไปเยอะเหลือเกิน หนังเรื่องนี้ไม่ได้อึดอัดแค่ตอนดูเท่านั้น แต่ดูจบแล้วก็ยังอึดอัดกับโศกนาฏกรรมในช่วงท้ายที่คนเห็นแก่ตัวทั้งคู่ได้เผชิญ อีกทั้งฉากจบที่เชื่อว่าน่าจะเป็นฉากที่ติดตาตรึงใจใครก็ตามที่ได้ดู ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้หนักอึ้งยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นหนังโศกนาฏกรรมคุณภาพสูงที่น่าอึดอัด และค่อนข้างเครียดเรื่องนึงเลยครับ
อันดับ 4
Pan's Labyrinth
หนังออสการ์อีกเช่นกัน ของกิลเลอโม เดล โทโร นำแสดงโดยหนูน้อยอีวาน่า บาเควโร่ ( ที่ผมไม่รู้จัก ) ตอนแรกที่ได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้ผมนึกว่าจะเป็นหนังลึกลับๆ แต่พอเห็นโปสเตอร์หนังครังแรก ผมก็คิดอีกว่า มันคงเป็นหนังแฟนตาซีที่วัยรุ่นคงแห่กันไปดู แต่พอดูไปดูมา เฮ้ย หนังเรท R แถมยังได้เข้าชิงออสการ์อีกต่างหาก สงสัยไม่ธรรมดาซะแล้ว และเมื่อผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ ก็เลยพบว่า มันไม่ธรรมดาจริงๆนั่นแหละ
Pan's Labyrinth ว่าด้วยเรื่องของโอฟีเลีย หนูน้อยที่ต้องย้ายบ้านตามคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง ไปอยู่ในค่ายทหารที่กำลังเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งผู้กองของค่ายทหารนี้จะมาเป็นพ่อเลี้ยงของเธออีกด้วย โอฟีเลียไม่มีความสุขกับบ้านใหม่ และไม่ชอบพ่อเลี้ยงจอมโหดของเธอเอาเสียเลย โอฟีเลียเริ่มใช้เวลาไปกับจินตนาการของตัวเองตามประสาเด็ก บวกกับความชอบอ่านนิยายของเธอ ทำให้โอฟีเลียมักจะสร้างโลกที่สว่างไสวของเธอเองขึ้นมา จนกระทั่งได้พบกับตัวฟอน ที่มอบภารกิจให้เธอทำ 3 อย่าง เพื่อสร้างความสุขให้ตัวเธอเอง แม่ และน้องที่กำลังจะเกิดมา ... ท่ามลางสถานการณ์สงครามอันโหดร้ายป่าเถื่อน โอฟีเลียจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังจากพ่อเลี้ยงได้อย่างไร พวกสัตว์ประหลาดในเรื่องเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงความคิดของโอฟีเลียที่ปกป้องตัวเองจากความโหดร้ายภายนอกกันแน่
ฟังผมเล่าเรื่องคร่าวๆ อาจจะคิดไปว่านี่เป็นหนังแฟนตาซีนะครับ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย หนังเรื่องนี้มีความรุนแรงสูงมากๆ จนโดนห้ามฉายในหลายๆประเทศ ฉากเปิดเรื่องเหมือนดังเทพนิยาย แต่พอดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆยิ่งสร้างความกดดันให้คนดู ผมสารภาพว่าผมพยายามเอาใจช่วยโอฟีเลียเต็มที่แล้ว แต่ไอ้พ่อเลี้ยงจอมโหดกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาให้เธอแบกรับเต็มๆมันโหดร้ายสำหรับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจริงๆ อันที่จริงหนังเรื่องนี้ในตอนจบปล่อยให้คนดูคิดเอาเองนะครับ คนที่เลือกคิดในแง่บวก หนังเรื่องนี้ก็จัดเป็นสุขนาฏกรรมเรื่องนึง แต่ถ้าคิดแบบมองตามหลักความจริงแบบผม นี่เป็นหนังที่จบอย่างโศกนาฏกรรมอันแสนเศร้า ที่ดึงอารมณ์ร่วมจากคนดูได้สูงมากเรื่องนึงเลยครับ
อันดับ 3
American Beauty
หนังรางวัลออสการ์เรื่องที่สามในลิสต์ของผมไปแล้ว กำกับโดยแซม เมนเดส ที่เพิ่งกลับมาอีกครั้งกับ Revolutionary Road ซึ่งผมยังไม่มีโอกาสได้ดู หนังได้ดาราระดับเขี้ยวลากดินอย่างเควิน สเปซี่ และแอนเน็ท เบนนิ่งร่วมแสดงนำ นอกจากจะเป็นหนังที่จบแบบสลดหดหู่สุดๆแล้ว American Beauty ยังเสียดสีจิกกัดสังคมชาวอเมริกันได้อย่างเยี่ยมยอด แถมยังแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย เป็นอีกหนังระดับคุณภาพที่ยังพอหาชมกันได้ครับ
American Beauty ว่าด้วยครอบครัวเบิร์นแฮม ประกอบไปด้วยคุณพ่อเลสเตอร์ คุณแม่แคโรไลน์ และลูกสาวเจน ที่ภายนอกดูจะรักกันดี แต่เอาเข้าจริงๆครอบครัวนี้เน่าเฟะสุดๆ เลสเตอร์เป็นพวกขี้แพ้ที่ออกจากงานมาเป็นลูกจ้างร้านฟาสฟูทในวัย 42 แคโรไลน์กำลังจะไต่เต่าในการทำงานด้วยการเป็นชู้กับเจ้านายของเธอ เจนไม่พอใจกับขนาดหน้าอกของตัวเองและเกลียดครอบครัวของเธอ แต่กลับมีใจให้หนุ่มขายยาเสพย์ติด เพื่อนบ้านของเธอเองที่มีพ่อเป็นทหารเรือจอมเฮี้ยบ วันหนึ่งขณะที่เลสเตอร์กับแคโรไลน์ไปดูลูกสาวเต้นเชียร์หลีดเดอร์ เลสเตอร์ก็พบกับแองเจล่า สาวฮอทประจำโรงเรียนที่มักจะเอาเรื่องเซ็กส์ของตัวเองมาเล่าอย่างสนุกปาก ซ้ำร้ายเลสเตอร์ดันไปหลงรักเด็กสาวคราวลูกคนนี้เข้าอีกต่างหาก
นี่เป็นหนังที่เพี้ยนสุดๆจริงๆครับ แต่ในความเพี้ยนของมันก็มีประเด็นมากมายให้ต้องตามชมจนจบ ตอนจบของหนังเรื่องนี้นี่หายนะชัดชัดเลยครับ ไม่ได้ว่าแย่จนเป็นหายนะนะครับ แต่มันจบแบบเพี้ยนหนักกว่าเดิมอีก อะไรๆที่คาดไม่ถึงก็ประเดประดังเข้ามาเรื่อยๆ ช่วงจบที่แสนจะช็อค และโศกนาฏกรรมท้ายเรื่องที่น่าเศร้าปนน่าสมเพช
นอกจากจะเป็นหนังโศกนาฏกรรมที่มีคุณภาพสูงจนกวาดมา 5 ออสการ์แล้ว หนังเรื่องนี้ยังให้ข้อคิดในชีวิตครอบครัวได้อีกมากพอสมควร เสียดสีความเป็นอเมริกันชนเต็มที่ แค่ชื่อเรื่องและภาพแฮนด์บิล ก็แอบด่าคนอเมริกัน โดยแฝงไว้ด้วยสัญลักษณ์อย่างดอกกุหลาบ ที่สื่อได้อย่างชัดเจนว่า ความงามที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าที่เรา แท้จริงแล้วเป็นความโง่เขลาของพวกเราเองทั้งนั้น
เป็นหนังที่เรื่องน่าเศร้า ตัวละครน่าสมเพช บทภาพยนตร์กดดัน และบีบคั้นหัวใจคนดูมากในเวลาเดียวกัน
อันดับ 2
Atonement
หนังออสการ์เรื่องที่สี่ในลิสต์ของผม ของผู้กำกับโจ ไรท์ ที่ได้นางเอกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังพีเรียดไปแล้วอย่างคีร่า ไนท์ลี่มาแสดงนำ ร่วมด้วยเจมส์ แม็คอวอย , เซียร์ซ่า โรนัน และวาเนสซ่า เรดเกรฟ แค่ชื่อหนังตราบาป ลิขิตรัก ก็พอจะเดาทางได้นะครับ ว่าจะจบแบบโศกนาฏกรรมแน่ๆ แต่ยิ่งได้ดีกรีคว้ารางวัล Golden Globe สาขาหนังยอดเยี่ยมมาได้ ยิ่งทำให้คอหนังอย่างผมรู้ว่า นี่คงไม่ใช่หนังโรแมนติคดรามาธรรมดาๆซะแล้ว และเป็นจริงดังคาดครับ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังโศกนาฏกรรมที่ติดตรึงใจจริงๆ
หนังเล่าย้อนไปตั้งแต่ปี 1935 โดยเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพอดี เซซิเลียและร็อบบี้ คู่รักต่างชนชั้น ระหว่างหนุ่มลูกคนงานกับสาวลูกคุณหนูแอบมีใจให้กัน และคบกันอย่างลับๆ จนกระทั่งถูกไบรโอนี่ที่เป็นน้องสาวเซซิเลียและแอบชอบร็อบบี้อยู่เช่นกัน โกรธที่เห็นร็อบบี้รักพี่สาวของเธอ ไบรโอนี่จึงสร้างเรื่องเพื่อขับไล่ร็อบบี้ออกจากบ้าน และเหตุการณ์นั้นเองก็เกิดผลกระทบนำมาสู่เรื่องวุ่นวายอื่นๆต่อมา และทั้งหมดที่หนังเรื่องนี้จะเล่าก็คือ atonement ( ความผิดบาป ) ของไบรโอนี่และโศกนาฏกรรมความรักของเซซิเลียกับร็อบบี้ ที่แม้จะออกมาแนวละครสองทุ่ม แต่ด้วยองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมของหนัง ก็ส่งให้ Atonement เป็นหนังดรามา โรแมนติคที่มีคุณภาพสูงมากเรื่องหนึ่ง
ผมชอบหนังเรื่องมากๆ แม้ว่าโศกนาฏกรรมความรักของเรื่องนี้ไม่ทำให้หดหู่เท่ากับเรื่องอื่นๆข้างต้น แต่ให้อารมณ์ร่วมมากกว่า ดูได้สบายใจกว่า ไม่หนักจนจุก ไม่แน่นจนกดดัน แต่ดูจบแล้วติดตรึงอยู่ในหัวได้เหมือนกัน
ถ้าอยากหาหนังดรามาโศกนาฏกรรมที่เนื้อหาไม่หนักจนเกินไป แต่ก็ดูสนุกและมีคุณภาพสูง ตัวเลือกแรกที่ผมจะแนะนำคือ Atonement อย่างแน่นอน
อันดับ 1
Requiem for a dream
หนังเรื่องเดียวในลิสต์ของผม ที่ไม่ได้รางวัลออสการ์อะไรกับเค้าเลย แต่กลับเป็นหนังโศกนาฏกรรมที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยดูมา เป็นงานมาสเตอร์พีซของผู้กำกับดาเรน อาโรนอฟสกี้ อีกทั้งยังมีการแสดงระดับเทพของทีมนักแสดง นำโดยคุณป้าเอลเลน เบิสตีน ร่วมด้วยจาเรท เลโต้และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ และเพลงประกอบที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งในวงการเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Requiem for a tower ที่ดีจน Lord of the Rings ยังต้องยืมไปใช้ และทั้งหมดนี้นำมาสู่หนังที่ดูแล้วหดหู่ไปเป็นสัปดาห์ - Requiem for a dream
หนังว่าด้วยพิษภัยของยาเสพย์ติดล้วนๆครับ ผมเอาหัวเป็นประกันว่า ถ้าทางรัฐบาลเอาหนังเรื่องนี้ไปเปิดให้เด็กที่ติดยาได้ดู หรือใช้เป็นสื่อที่รณรงค์เลิกซื้อ เลิกขาย เลิกเสพย์ยาเสพย์ติด ผมคิดว่าด้วยความรุนแรงของเนื้อหาในเรื่องนี้ จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการยาเสพย์ติดได้หนาวๆร้อนๆกันแน่นอน
หนังว่าด้วยชีวิตของคน 4 คน ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการยาเสพย์ติด เป็นเด็กวัยรุ่น 3 คน ที่เสพย์ยาและค้ายาอย่างตั้งใจ และหนึ่งหญิงชราที่เผลอใช้ยาเสพย์ติดอย่างรู้เท่าไม่ถึงการ นำมาสู่ความดำมืด หดหู่ สิ้นหวังหายนะ และความจิตตกของคนดูในตอนจบ หนังเล่าเรื่องอย่างฉลาด ด้วยการแบ่งช่วงเวลาตามฤดู เริ่มต้นด้วยความรุ่งโรจน์ ทำอะไรๆก็ดีไปหมดเพราะยาเสพย์ติด ตามด้วยจุดผลิกพันที่ทำให้เรื่องราวเริ่มแย่ลง ปิดท้ายด้วยความหายนะจากการใช้ยานรกในตอนจบ
หนังเรื่องนี้ยังโดดเด่นจาการใช้ดนตรีประกอบ ที่เหมือนจะดูดให้ทุกๆคนจมดิ่งลงสู่ความมืด ฟังแล้วอึดอัดหายใจไม่ออก ยิ่งตอนที่ปรากฏในหนัง ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกหดหู่ไปกับทุกๆองค์ประกอบจริงๆ ( ใครว่า Gloomy Sunday ฟังแล้วรู้สึกหดหู่แล้ว มาเจอ Requiem for a tower เข้าไปนี่ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยครับ )
ฟังแล้วอาจจะหมั่นไส้ผมนะครับ แต่ผมท้าเลยว่า ใครก็ตามที่อารมณ์ดีๆ หรือเชื่อว่าการดูหนังหนึ่งเรื่องไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตมากมาย ลองมาดูสุดยอดหนังดรามายาเสพย์ติด จบแบบโศกนาฏกรรมเรื่องนี้เข้าไป จะรีบถอนคำพูดแทบไม่ทันเลยครับ |
|
อันดับ 5
5 อันดับหนังรักเหงาที่ผมชอบที่สุด
5 อันดับหนังดรามาที่จบแบบสุขนาฏกรรมที่ผมชอบที่สุด
อันดับ 5
In America
หนังเล็กๆแต่สุดอบอุ่นของจิม เชอริแดน ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ทอปฟอร์มสุดๆ ถ่ายทอดเรื่องราวการดิ้นรนต่อสู้ของครอบครัวเล็กๆในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างนิวยอร์ค ซึ่งผมว่าเป็นพล็อตที่เหมาะเหลือเกินในการทำหนังให้ออกมาอบอุ่นและจบสุข หนังยังได้ดาราระดับเดียวกับตัวหนัง อย่างแพทดี้ คอซิดีนและซาแมนทา มอร์ตันมานำแสดง แต่ถึงชื่อชั้นจะไม่ดึงดูด แต่ฝีมือการแสดงและเคมีที่เข้ากันดีเหลือเกิน ทำให้หนังเรื่องนี้อบอุ่นแบบลงตัวจริงๆ
หนังว่าด้วยครอบครัวชาวไอร์แลนด์ พ่อ แม่ และลูกสาวสองคน ที่ตัดสินใจอพยพเข้ามาในนิวยอร์คโดยหวังว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น แน่นอนว่าพวกเค้าต้องปากกัดตีนถีบในระยะแรก ต้องเจอกับสภาพสังคมใหม่ๆ ผู้คนมากหน้าหลายตา เพื่อนบ้านที่ไม่น่าไว้ใจ และความกดดันที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านและค่ากินอยู่ ทั้งหมดนี้ทำให้คนดูได้มีอารมณ์ร่วมและเอาใจช่วยให้ครอบครัวนี้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหมดไปให้ได้และได้ลืมตาอ้าปาก ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขเสียที
ฟังพล็อตแล้วอาจฟังดูธรรมดาๆนะครับ แต่บรรยากาศของหนังและเรื่องราวมากมายยิบย่อยที่สอดแทรกอยู่ตลอดเรื่องทำได้ดีจริงๆ ดาราสมทบอย่างจิมอน ฮอนชูก็เล่นน้อยแต่ได้เยอะ ดาราเด็กที่รับบทเป็นลูกสาวสองคนก็น่ารัก และสร้างสีสันให้กับเนื้อเรื่องได้อย่างดี เป็นอีกหนึ่งหนังดีที่ดูจบแล้วมีความสุขมากๆครับ
อันดับ 4
Pursuit of Happyness
หนังสู้ชีวิตโดยผู้กำกับชื่อไม่ค้นหูชาวอิตาลี กาเบรียลลี มูซซิโน ที่ได้ดาราแม่เหล็กอย่างวิล สมิธมารับบทนำ ถ่ายทอดชีวประวัติของเซลส์แมนสู้ชีวิต คริส การ์ดเนอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ แถมยังได้ลูกชายตัวจริงของวิล สมิธมาเล่นเป็นลูกชายของตัวละครคริส การ์ดเนอร์อีกต่างหาก เป็นสุดยอดหนังที่ดูจบแล้วมีกำลังใจในการสู้ชีวิตขึ้นอีกเพียบ
หนังว่าด้วยคริส การ์ดเนอร์ เซลส์แมนขายเครื่องมือแพทย์สุดอาภัพที่โดนภรรยาทิ้ง เหลือไว้เพียงลูกชายวัย 8 ขวบอยู่กับเค้า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่แย่เอามากๆ ทำให้คริสไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากทนขายเครื่องมือแพทย์ของตนต่อไป โดยได้ลูกชายตัวน้อยมาช่วยอ้อนผู้ซื้ออยู่ด้วย ทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ โดนขับไล่ออกจากบ้านเช่า ต้องอาศัยโครงการที่ซุกหัวนอนฟรีสำหรับผู้ยากไร้ซุกหัวนอนไปวันๆ วันไหนโชคดีก็มีที่นอน วันไหนโชคไม่ดีก็ต้องไปนอนตามที่สาธารณะ แถมอาหารก็กินแบบอดมื้อกินมื้อ แต่พี่คริส พระเอกของเราแม้จะท้อและหมดกำลังใจเพียงใด แต่เมื่อไรที่มองหน้าลูกชายของตัวเอง เค้าก็กัดฟันสู้ต่อไป และด้วยความเป็นนักสู้และกำลังใจที่เต็มเปี่ยมนี้เอง ทำให้เค้าได้ยิ้มทั้งน้ำตากับตัวเองในท้ายที่สุด
นี่เป็นหนังที่ให้กำลังใจทุกๆคนอย่างแท้จริงครับ ไม่ว่าคนไหน ชนชั้นใด อาชีพอะไรก็ตามได้ลองดูหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อแน่ว่าต้องประทับใจไปกับการแสดงของวิล สมิธแน่นอน อยากให้กำลังใจใครซักคน นอกจากคำพูดแล้ว ลองให้เค้าได้ดูหนังเรื่องนี้ รับรองครับว่ากำลังใจมาอีกโขเลยหล่ะ
อันดับ 3
Happy Go Lucky
หนังอังกฤษของผู้กำกับไมค์ ลี ที่เปลี่ยนแนวมาทำหนังดรามาอารมณ์ดี ได้ดาราโนเนมอย่างแซลลี่ ฮอว์กินส์มารับบทนางเอกเต็มตัวเป็นครั้งแรก แต่กลับตีบทแตกกระจุยจนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปครอง นี่เป็นหนังดรามาอารมณ์ดี ที่ดูจบแล้วโลกสดใสและมีความสุขเหมือนชื่อเรื่อง ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้อาจเปลี่ยนทัศนคติของหลายๆคนเมื่อดูจบก็เป็นได้นะครับ
หนังเล่าเรื่องของคุณครูอนุบาลวัย 30 กะรัตอย่างป๊อปปี้ ที่มองโลกในแง่ดี คิดบวก ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้คนรอบข้างเธออารมณ์ดีและมีความสุขไปกับเธอด้วย หนังถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตประจำวันของป๊อบปี้ออกมาได้อย่างน่ารัก ทั้งการไปดื่ม กิน สังสรรค์กับเพื่อนๆ , การเรียนขับรถ , เรียนเต้นฟลามิงโก้ , ออกเดท , การสอนเด็กอนุบาลในชั้นเรียน ตลอดเรื่องป๊อบปี้จะต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่คิดอะไรในแง่ลบ และเธอก็ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้นให้คิดในแง่บวกและมีความสุขกับชีวิต คนดูจะได้เรียนรู้วิธีคิดและทัศนคติในดำเนินชีวิตแบบไม่เหมือนใครของป๊อบปี้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
นี่อาจเป็นหนังที่ดูไม่มีอะไรมากนะครับ แค่นั่งดูชีวิตประจำวันของคนเพี้ยนๆที่มองโลกเป็นสีลูกกวาดคนนึง แต่ผมเชื่อแน่ว่าตลอดเรื่องต้องมีอย่างน้อยครั้งนึงที่คุณยิ้มไปกับความน่ารักและมองโลกในแง่ดีของนักแสดงนำ ดูจบแล้วคุณอาจจะมองโลกสดใสมากขึ้น ยิ้มให้กับตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ที่จะคิดบวก และปล่อยเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้หลุดลอยออกจากความทรงจำไป และที่สำคัญคือคุณน่าจะยิ้มเก่งขึ้นแน่ๆหลังจากเห็นพลังแห่งรอยยิ้มที่จริงใจของแซลลี่ ฮอว์กินส์ตลอดทั้งเรื่อง
อันดับ 2
Dead Poets Society
ผมชอบหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ชื่อไทยที่ตั้งได้ให้อารมณ์ฟีลกู๊ดอย่างน่าประหลาด นี่เป็นงานกำกับของปีเตอร์ แวร์ ที่ระยะหลังชักหายหน้าหายตาไปจากวงการ ได้ดาราระดับเกรดเออย่างโรบิน วิลเลียมมาเป็นตัวหลักในบทบาทของคุณครูจอห์น คีทติ้ง ที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนคุณครูป๊อบปี้ แต่เด่นตรงที่สอนให้นักเรียนของเขาทำตามความฝัน และเริ่มทำให้ฝันเป็นจริงตั้งแต่บัดนี้ กับประโยคที่กลายเป็นคำฮิตของหนังเรื่องนี้ ,, Seize the day !!
หนังเล่าเรื่องราวของครูจอห์น คีทติ้งแห่งโรงเรียนมัธยมปลายที่วางกรอบ วางระเบียบไว้อย่างเคร่งครัด จนนักเรียในโรงเรียนนี้พากันเบื่อหน่ายกับการเรียน ครูจอห์นเริ่มใช้แผนการสอนของตัวเองโดยไม่สนใจขนบของครูคนอื่นๆ เค้าพานักเรียนออกนอกห้องเรียนเพื่อเติมเต็มจินตนาการของวัยรุ่น จนกระทั่งได้ตั้งสมาคมลับ Dead Poet Societys ขึ้น และต่อจากนั้นนักเรียนหลายๆคนเริ่มชอบที่จะเรียนในชั่วโมงของครูคีทติ้ง แต่ขณะเดียวกันครูคีทติ้งก็เริ่มถูกเพิ่งเล็งจากผู้ปกครองและเพื่อนครูด้วยกัน ถึงแผนการสอนที่นอกกรอบของเค้า และนำไปสู่เรื่องราวอันแสนเศร้าในตอนใกล้จบเรื่อง ก่อนจะขมวดมาเรียกน้ำตาคนดูได้อย่างอบอุ่นในตอนจบของเรื่องจริงๆ
หลายคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้แล้วอาจไม่จัดหมวดให้เรื่องนี้อยู่ในหนังประเภทจบสุขนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ฉากจบที่นักเรียนทุกคนยืนบนโต๊ะและร้องเรียก Oh Captain , My Captian ที่สื่อถึงคุณครูคีทติ้ง เป็นอะไรที่มีความสุขมาก ถ้าผมเป็นคุณครูคีทติ้งผมคงภูมิใจ และมีความสุขมากที่สุด แต่กระนั้นถึงผมเป็นแค่คนดูหนังตามปกติ ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรักของลูกศิษย์ - คุณครูที่มากล้นจนระเบิดออกมาในตอนจบของเรื่องแบบนี้ นี่เป็นหนังที่จบอย่างอบอุ่น ซาบซึ้ง และเรียกน้ำตาได้พอสมควรเลยนะครับ
อันดับ 1
Always : Sunset on the Third Street
หนังญี่ปุ่นแท้ๆที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องนึง กำกับโดยทากาชิ ยามาซากิ และได้ทีมนักแสดงคุณภาพร่วมเล่นเป็นชาวเมืองโตเกียวในยุค 50 มากมาย แถมฮิตถล่มทลายจนกลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นในปี 2005 และต้องสร้างภาคสองตามออกมา นี่เป็นหนังดรามาที่มีครบรสทั้งความรักในครอบครัว ตลก เศร้า สดใส อบอุ่น ถวิลหาอดีต และจบอย่างมีความสุข จนผมเชื่อว่าน่าจะเรียกน้ำตาแห่งความซาบซึ้งจากหลายๆคนได้
หนังเล่าย้อนไปเล่าเรื่องในยุค 50 ที่เพิ่งจะเริ่มสร้างโตเกียวทาวเวอร์ อันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโตเกียวในปัจจุบัน หนังเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลากหลายชีวิต ทั้งนักเขียนการ์ตูนที่งานก็ไม่รุ่ง เงินก็ไม่มี แต่ดันไปรับเด็กมาเลี้ยง , ครอบครัวช่างซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่มีความฝันจะขยายร้านเล็กๆของตนให้กลายเป็นบริษัทชั้นนำ , สาวร้านน้ำชาอดีตนักแสดงระบำเปลื้องผ้าที่นักเขียนการ์ตูนแอบหลงรัก , คุณหมอหน้าดุแต่ใจดี ที่เด็กๆในเมืองต่างก็เกรงกลัว , เด็กสาวต่างจังหวัดที่เดินมาจะเข้ามาฝึกงานกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ แต่กลับพบว่าได้มาทำงานในร้านเล็กๆของครอบครัวช่างซ่อมมอเตอร์ไซต์
หนังเล่าเรื่องของตัวละครแต่ละตัวตัดสลับไปมา มากบ้างน้อยบ้าง แต่ทุกๆตัวละครในหนังล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัว จนกลมกลืนเข้ากับอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี บทหนังที่บรรจงเขียนขึ้นอย่างไม่มีที่ติ ดึงอารมณ์ร่วมได้จากคนดูทุกเพศทุกวัยเหมือนต้องมนตร์ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังโดดเด่นด้วยดนตรีประกอบที่ติดหู และร่วมสมัยเอามากๆ บวกกับความอบอุ่นของโทนสีในหนัง ที่เน้นสีส้มและสีสว่างๆ ให้ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทั้งหมดนี้คือความสุดยอดของ Always : Sunset on the Third Street ที่ผมเชื่อว่าทุกๆคนต้องหลงรัก
ถ้าคุณยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ อย่าเพิ่งว่าผมเป็นหน้าม้าหรืออวยกันจนเวอร์นะครับ ลองหามาดู ( แนะนำแบบเสียงในฟิล์มดีกว่า ) ให้ได้ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุข ความอิ่มเอม ความซาบซึ้ง บางทีก็หาได้ใกล้ๆตัวนี่แหละ
อันดับหนังรักโรแมนติคที่ผมชอบที่สุด
Create Date : 22 มกราคม 2552 |
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 15:45:53 น. |
|
Hot Fuzz
อันดับ 5
Turn Left , Turn Right
หนังฮ่องกงปี 2004 ที่ชื่อภาษาไทยเก๋ๆว่า ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา ของผู้กำกับตู้ฉีฟง ที่ได้พระเอกมากความสามารถอย่างทาเคชิ คาเนชิโร่ ประกบกับ จีจี้ เหลียง นักแสดงหน้าสวย ร้องเพลงเพราะ
ผมสามารถบอกได้เลยว่า เหตุผลที่ผมชอบหนังเรื่องนี้เพราะ มันเป้นหนังน้ำเน่าที่ดูแล้วมีความสุข แถมแอบลุ้นจนกระทั่งจบเรื่องให้สองตัวเอกได้พบรักกันเสียที สถานการณ์ต่างๆที่ทำให้สองตัวเอกแยกจากกันมันช่างเกินความจริงสุดๆ แต่ผมก็สนุกไปกับมันได้ตลอดทั้งเรื่อง อาจเพราะผมแพ้ให้กับพล็อตแนวคนเหงาสองคนตามหากันจนเจอก็เป็นได้มั้งครับ
ฉากจบของเรื่องนี้ก็เป็นฉากประทับใจที่สุดตลอดกาลของผมเลยนะครับ กับสัญลักษณ์ที่สื่อผ่านร่มของตัวเอกทั้งคู่ หลังจากที่ร่มสองคันได้วางอยู่เคียงคู่กันเสียที ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ จบแบบชีวิตมีความสุขสุดๆ
อันดับ 4
The Classic
หนังเกาหลีปี 2003 ที่ผมชอบชื่อไทยมากๆ " คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต " โดยผู้กำกับปรมาจารย์หนังโรแมนติคอย่างกวัก แจ ยอง ที่หันมากำกับแบบโรแมนติคเพียวๆ โดยมีตัวดำเนินเรื่องคือซอน เย จิน นางเอกแดนโสมแสนสวย
นี่ก็หนังโรแมนติคที่เน่าไม่แพ้เรื่องด้านบน ว่าด้วยเรื่องราวความรักของคนสองรุ่น โดยรุ่นแม่อยู่ในช่วงสงครามโลก และช่วงที่สองรุ่นลูก อยู่ในช่วงปัจจุบัน และกับความรักที่ไม่สมหวังในรุ่นแม่ กลับหักมุมจบอย่างสุดซึ้งในรุ่นลูกแทน
ผมว่าหนังเรื่องนี้สะเทือนอารมณ์สุดๆไปเลยนะครับ เรียกน้ำตาผมได้พอสมควรเลยแหละ ที่สำคัญคือหนังยังมีพลังอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่การแสดงก็ไม่ได้มากมาย แต่กลับสื่ออารมณ์ได้อย่างมหาสาร
และฉากที่ผมชอบที่สุดในเรื่องก็คือฉากสารภาพความจริงในร้านอาหาร ที่ช่างน่าเจ็บปวด แต่ก็กินใจเหลือเกิน ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วผมก็แอบเพ้อฝันไปว่า บางทีแล้วแม้ผมจะไม่สมหวังกับคนที่ผมชอบ แต่สายเลือดของผมอาจจะมีโอกาสได้สานสัมพันธ์กับสายเลือดของเธอในอนาคต เหมือนในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ^0^
อันดับ 3
Serendipity
หนังของพระเอกลุคอบอุ่นจอห์น คุสแซ็ค กับนางเอกแสนสวยเคท แบคคินเซล หนังโรแมนติคปี 2001 ที่ชื่อไทยเพราะอีกแล้ว " กว่าจะค้นเจอ ... ขอมีเธอสุดหัวใจ "
หนังเรื่องนี้ก็คือ Turn Left , Turn Right ของฮอลิวูดดีๆนี่เอง โดยเนื้อหาหลักๆว่าด้วยเรื่องของโชคชะตา การที่คนสองคนเกิดมาเป็นคู่กัน อย่างไรซะก็ต้องได้คู่กัน เหมือนพระเอกกับนางเอกของเรื่องนี้ที่เจอกันโดยบังเอิญ ได้ทำความรู้จักกันเพียงชั่วคืน แม้จะคุยกันถูกคอ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แสดงความรู้จักเพิ่มเติมและสานสัมพันธ์ ทางเดียวที่จะพิสูจน์ว่าทั้งสองเป็นคู่แท้กันหรือไม่ คือการปล่อยให้โชคชะตาเป็นตัวกำหนด
และหลายๆคนก็คงเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้จบอย่างไร ใช่ครับ จบแบบอบอุ่นเปี่ยมสุขอีกแล้ว แต่ระหว่างนั้นการดำเนินเรื่องก็ทำได้ดีนะครับ สามารถดึงความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตามและลุ้นว่าเมื่อไหร่สองตัวเองจะได้เจอกันเสียที และพอทั้งคู่ได้เจอกันจริงๆ ผมเชื่อว่าคนที่ได้ดูก็คงจะยิ้มตาม และอิ่มเอิบใจไปกับตัวละครทั้งคู่เป็นแน่
ที่สำคัญคือ ดูเรื่องนี้จบแล้ว คุณอาจจะเชื่อในพลังแห่งรัก และสิ่งที่เรียกว่า Destiny รวมทั้งแอบหวังเล็กๆว่าเหตุการณ์แบบในเรื่องแจเกิดขึ้นกับตัวคุณเข้าซักวันแบบผมก็เป็นได้
อันดับ 2
The Notebook
หนังปี 2004 ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมของนิโคลัส สปาร์กที่ชื่อเดียวกับหนัง และจับเอาคู่แฟน( ในตอนนั้น ) อย่างไรอัน กอสลิ่งกับราเชล แม็คอดัมมาเล่นบทพระเอก นางเอกตอนหนุ่มสาว พร้อมด้วยดาราสมทบอย่าง เจมส์ การ์เนอร์กับจีน่า โรวแลนด์ ซึ่งผมมองว่าคัดเลือกนักแสดงได้เยี่ยมไปเลย ทั้งฝั่งหนุ่มสาว และฝั่งตายาย
ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบก็คือ คำสัญญาครับ มันคงจะดีถ้าเราได้รักษาสัญญาที่เราให้ไว้กับคนรักได้ตลอด แม้ว่าคนที่เรารักจะหลงลืมคำมั่นสัญญาของเราไปแล้วก็ตาม ถ้าคนรักกันจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่ายังไงก็จะดูแลกันไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตทั้งสองฝ่ายแน่นอนครับ
และการให้หนังจบด้วยการที่คู่ชีวิตที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน นอนกอดกัน เสียชีวิตอย่างสงบในอ้อมกอดของกันและกัน มันทำให้ผมพีคมากๆ ความรักที่แท้จริงมันก็ดีอย่างนี้แหละครับ ดูเรื่องนี้จบผมก็เพ้อเจ้ออีกแล้ว ว่าตอนที่เราแก่จะมีคนอยู่ข้างๆ แก่เป็นเพื่อนเรา หลงๆลืมๆเป็นเพื่อนเรา และอยู่กับเราจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตบ้าง
ผมคงชอบดูหนังเพราะมันทำให้ผมได้จินตนาการอะไรแบบนี้บ่อยๆนี่แหละมั้ง
อันดับ 1
Love Actually
หนังจากเกาะอังกฤษปี 2004 ของ ริชาร์ด เคอติส ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือที่ละเมียดละไมไม่แพ้กัน นำดาราขาใหญ่มารับบทไม่เล็กไม่ใหญ่ เฉลี่ยๆคละเคล้ากันไป หนังเต็มไปด้วยความอบอุ่น เปี่ยมสุข และแสดงให้เห็นถึงความสุขจากเทศกาลคริสมาสต์ได้เป็นอย่างดี
ก็คิดว่าไม่ต้องบรรยายกันมาก หลายๆคนคงจะเคยดูหรือเคยผ่านตากับหนังเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ขอบอกว่าลงตัวจริงๆครับ ผู้กำกับเก่งจริงๆที่ทำให้ดาราคับเกาะอังกฤษมารวมกันในเรื่อง แล้วเฉลี่ยบทอย่างเหมาะสมและลงตัวได้ในทุกๆตัวละคร ไม่มีใครเด่นกว่าใคร เรื่องราวที่สร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละกลุ่มก็เยี่ยมครับ ประโยคซึ้งๆจากหนังเรื่องนี้ก็มาก เพลงประกอบที่นำมาร้องใหม่ก็เพราะ บรรยากาศคริสมาสต์ก็โรแมนติก แทบไม่มีข้อติเลยครับ เป็นหนึ่งในหนังโปรดตลอดกาลของผมไปด้วยเลยสำหรับหนังเรื่องนี้ ลองหยิบหนังเรื่องนี้มาเปิดในวันวาเลนไทน์หรือคริสมาสต์ให้คนที่คุณรักได้ดูไปพร้อมๆกัน รับรองครับ รักกันตายย ~ ย
อันดับ 5
Lost In Time
หนังฮ่องกงปี 2003 ชื่อไทยว่า เวลา...ความรักที่สูญหาย ที่ทำให้จางป๋อจือได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี โดยมีสองพระเอกดัง กู่เทียนเล่อ และ หลิวชิงหวิน ร่วมทีมแสดงด้วยและหนังฮ่องกงเรื่องนี้ก็เป็นหนังรักที่ทำออกมาได้เหงาดีเหลือเกิน
เรื่องหลักๆที่ถูกกล่าวถึงในหนังเรื่องนี้ก็คือความสูญเสีย เพราะนางเอกของเรื่องต้องเสียคนรักไปในวันก่อนแต่งงาน ต้องเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ในภาวะที่หมดกำลังใจ และยังมีงานขับรถโดยสารที่ยากลำบากเกินกว่าจะรับมือได้เพียงลำพัง ที่สำคัญยังต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง อดทนเพื่อเลี้ยงดูลูกติดของแฟนที่ตายจากไปให้ได้อีก
จากบทหนังคร่าวๆของหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเดาได้นะครับ ว่าดูแล้วเหงาขนาดไหน อารมณ์การสูญเสียคนรักและที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตไป แถมยังต้องเผชิญโลกอันโหดร้ายเพียงลำพัง จนกระทั่งได้เจอกับพนักงานขับรถมินิบัสคนนึง ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และพัฒนาความสัมพันธ์กันจนกลายเป็นความรักความเข้าใจ และ ร่วมกันฝ่าฟันปัญหาต่างๆไปด้วยกัน
สำหรับชื่อหนัง Lost in time ก็ตั้งมาได้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องดีเหลือเกิน เพราะหมายความถึงตัวนางเอง ที่ยังหลงยึดติดกับช่วงเวลาเก่าๆของตัวเองกับแฟน แม้ว่าแฟนจะตายไปนานขนาดไหนแล้วก็ตาม เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ดูแล้วเหงาสุดๆในตอนแรก ก่อนจะให้อารมณ์อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าประหลาด
อันดับ 4
The Bridges Of Madison County
หนังปี 1995 ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกัน มีชื่อไทยว่า สะพานนี้มีความรัก ได้ปรมาจารย์ผู้กำกับ Clint Eastwood กำกับและแสดงนำเอง ร่วมกับเมอรีล สตรีพ ถ่ายทอดความรักในแบบผู้ใหญ่ออกมาอย่างโรแมนติคปนเหงาได้เป็นอย่างดี
หนังเรื่องนี้เล่นประเด็นที่เกี่ยวกับความรักที่คาบเกี่ยวในเรื่องของศีลธรรม เพราะฝ่ายนางเอก มีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกๆที่น่ารักไปเรียบร้อยแล้ว แต่มาเจอกับพระเอกในตอนที่สายเกินไป แม้ทั้งคู่จะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ใช่และเกิดมาเพื่อกันและกันโดยแท้ แต่ฝ่ายนางเอกก็ไม่อาจตัดใจทิ้งครอบครัวของตัวเองไปได้ และตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม มากกว่าที่สิ่งอยากทำ แม้จะเจ็บปวดกับการสูญเสียเพียงใดก็ตาม
หนังดูแล้วเหงามากๆ ไม่ว่าจะเลือกทางใด นางเอกของเราก็ต้องเจ็บปวดทั้งหมด และสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นกลายเป็นเพียงความทรงจำที่สวยงามเท่านั้น ขอยกข้อความที่ผมอ่านเจอจากผู้ที่รักหนังเหงาๆเรื่องนี้มาให้อ่านเพิ่มเติม
" ความรู้สึกบางอย่าง เก็บไว้เป็นความทรงจำ อาจสวยงามมากกว่า
ในชีวิตจริง คุณอาจพบคนที่ใช่ ในขณะที่หัวใจของคุณไม่มีโอกาสแล้ว แต่อย่างน้อยคุณก็ยังได้พบ ได้สัมผัส ถึงจะเป็นเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของคุณอบอุ่น ยามนึกย้อนไปถึง "
อันดับ 3
Christmas in August
หนังรักปี 1998 ของผู้กำกับเฮอจินโฮ ที่มาผิดขนบหนังเกาหลีส่วนใหญ่ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักที่แทบจะไม่มีการบอกรักหรือแสดงอารมณ์โรแมนติคระหว่างตัวเอกทั้งสองเลย แต่กลับเป็นหนังรักเหงาที่ให้อารมณ์อบอุ่นอย่างมหาศาล เหมือนชื่อเรื่องภาษาไทย "ห่มรักเธอด้วยใจฉัน" ที่ฟังกี่รอบก็อบอุ่น
หนังว่าด้วยเรื่องของชายหนุ่มที่กำลังจะตาย แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนปกติ ไม่ห่วงหาอาวรณ์อะไร เปิดร้านรับล้างรูปและไม่บอกให้ใครได้รับรู้อาการป่วยของตน จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบกับหญิงสาวที่เข้ามาล้างรูป และได้ทำความรู้จักกัน และคุยกันบ่อยๆขึ้น พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ ไม่หวือหวา ไม่โรแมนติค แต่อบอุ่นและเปี่ยมสุข
หนังเรื่องนี้ไม่ฟูมฟาย ไม่มีจุดพลิกผัน ดำเนินเรื่องแบบเรียบเรื่อย ให้คนดูเข้ามาสัมผัสอารมณ์ความรักในเรื่องด้วยตัวเอง แม้หนังเรื่องนี้จะนิ่งเนิบแต่ก็ดูได้ไม่เบื่อ และมีความสุขในการนั่งดูความสัมพันธ์ของสองตัวละคร จวบจบวันสุดท้ายของชีวิต
หนังเรื่องนี้ใช้ภาพถ่ายมาเป็นสัญลักษณ์ของความรักได้เป็นอย่างดีครับ เพราะตอนจบเรื่อง รูปถ่ายของแฟนเก่าสมัยเรียนของพระเอก ที่แปะอยู่หน้าร้านล้างรูปมาตั้งนานได้ถูกแกะออก และเปลี่ยนมาแปะรูปนางเอกแทน แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ความรักที่ได้ก่อตัวขึ้นระหว่างนั้นก็เป็นของจริง และพระเอกเลือกที่จะใช้รูปถ่ายนี้เป็นความทรงจำสุดท้ายของตัวเขา
หนังเรื่องนี้ตอนดูก็อบอุ่นสุดๆแหละครับ แต่ตอนจบนี่ทำให้เหงาสุดๆ อาจเป็นเพราะดนตรีประกอบ ดนตรีประกอบเรื่องนี้ผมชอบเป็นอันดับต้นๆตั้งแต่ดูหนังมาเลยแหละครับ สร้างทั้งความอบอุ่นและความเหงาได้ดี แค่ฟังเฉยๆยังรู้สึกได้เลยแหละ
อันดับ 2
Sleepless in Seattle
กระซิบรักไว้บนฟากฟ้า , หนังปี 1993 ที่ดัดแปลงมาจากหนังสืออีกเช่นกัน และได้ 2 ดาราดังในยุคนั้น อย่างทอม แฮงส์ และ เม็ค ไรอัน มาประกบคู่เล่นหนังที่โรแมนติค แต่ก็แฝงไปด้วยความสนุกสนาน ขบขัน น้ำเน่า และเหงาใจไว้อย่างกลมกลืน
หนังเรื่องนี้คล้ายกับ Lost in time ในประเด็นที่ว่า พระเอกสูญเสียภรรยาไป และทำใจกับการสูญเสียไม่ได้ จนลูกชายเห็นว่าพ่อเศร้าซึม จึงโทรไปในรายการวิทยุในคืนคริสมาสต์และให้พ่อได้เล่าเรื่องราวของตนเอง จนสาวๆที่ฟังรายการวิทยุนี้อยู่ขณะนั้นเกิดซึ้งกับความรักของพระเอก และเขียนจดหมายเข้ามาที่บ้านของพระเอกมากมายเสนอตัวให้ออกเดทกับตนเอง
และนางเอกของเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ฟังวิทยุคืนนั้น และบ้าถึงขนาดจ้างนักสืบหาข้อมูลของพระเอกทั้งๆที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และได้เพื่อนรักแอบเอาจดหมายที่เขียนทิ้งไว้ส่งต่อให้พระเอกทางไปรษณีย์ เพื่อนัดแนะให้มาพบกันในวันและเวลาที่กำหนด และสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้เจอกันจริงๆ และเป็นฉากจบของเรื่องที่ทำให้ผมอมยิ้ม
หนังเรื่องนี้แปลกตรงที่พระเอกนางเอกไม่ได้เจอกันเลยจนกระทั่งจบเรื่อง ( ก่อนหน้านั้นเจอกันแล้วประมาณ 5 วินาที แต่ไม่ได้คุยกันเลย ) แต่เราๆคนดูกลับรู้สึกดีไปกับความโรแมนติคของตัวละครหลักที่ฟุ้งอยู่ทั่วทั้งเรื่อง หนังเรื่องนี้หวานกำลังดีและอบอุ่นมากๆ แม้บรรยากาศฉากหลังของหนังจะชวนให้หนาวขนลุก แต่พอเจอการแสดงและความเหงา ความโรแมนติคของตัวละคร มันก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดูแล้วอบอุ่นใจขึ้นมาทันที
เป็นหนังรักเหงาๆอีกเรื่องที่ผมชอบมาก และเหมาะกับคนไม่มีคู่และเชื่อในปาฏิหาริย์ของรักแรกพบ
อันดับ 1
Comrade, Almost A Love Story
หนังฮ่องกงสุดคลาสสิกที่มีชื่อเรียกง่ายๆว่า เถียนมีมี่ หรือชื่อไทยจริงๆว่า เถียนมีมี่ 3650 วัน....รักเธอคนเดียว ของผู้กำกับปีเตอร์ ชาน ปี 1996 นำแสดงโดยจางม่านอวี้ นางเอกขายฝีมือ และหลี่ หมิง หนุ่มหล่อหนึ่งในจตุรเทพของเกาะฮ่องกง และหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังรักเหงาๆที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยดูมา
เนื้อเรื่องย่อว่าด้วยหนุ่มสาวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เดินทางเข้ามาเสี่ยงโชคในฮ่องกง ต้องอยู่แบบช่วยเหลือตัวเอง ทำงานในสังคมที่ไม่คุ้นเคย จนกระทั่งได้มาพบกัน ด้วยความเหงาใจ เมื่อเจอคนบ้านเดียวกันก็ได้ทำความรู้จัก พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ช่วยเหลือกันดำเนินชีวิต สร้างสังคมเล็กๆในเมืองใหญ่ ในระยะแรกๆทั้งคู่เป็นคู่นอนกันโดยทึกทักเอาว่าเกิดจากความอ้างว้าง แต่แท้จริงแล้วมันคือความรัก
พระเอกได้กลับมาแต่งงานกับแฟนสาวที่คบกันก่อนมาฮ่องกง ขณะที่นางเอกกลายเป็นภรรยาของเจ้าพ่อระดับหัวกะทิ ทั้งคู่แยกย้ายกันไปอยู่ครอบครัวใครครอบครัวมัน โดยยังติดต่อกันแบบเพื่อนเป็นระยะๆ ทั้งที่จริงแล้วทั้งคู่ยังโหยหาซึ่งกันและกัน และยังไม่อาจตัดสัมพันธ์กลายมาเป็นเพียงเพื่อนได้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้แต่เก็บอีกคนไว้ในใจ และฟันฝ่ามรสุมหนักหนาสาหัสในชีวิต หลังจากที่ทั้งคู่ทั้งท้อแท้สิ้นหวัง โชคชะตาก็นำมาให้ทั้งคู่กลับมาเจอกันโดยบังเอิญ ไม่มีคำกล่าวใดๆหลุดออกจากปากของทั้งคู่ มีเพียงรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ แต่รับรู้ได้ว่า การรอคอยและตามหาใครบางคนได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังจาก 10 ปีผ่านไป ฮ่องกงเปลี่ยนไป จีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนไป แต่ความรักของทั้งคู่ยังคงเดิมเสมอ
หนังเรื่องนี้ใช้เพลงเถียนมีมี่ของเติ้งลี่จวินมาให้ทั้งคู่ได้ร้องไปด้วยกัน ระหว่างขี่จักรยาน ได้ซื้ออัลบั้มของเติ้งลี่จวินมาตั้งร้านขายในงานเทศกาลร่วมกัน และได้กลับมาเจอกันจากการดูข่าวการเสียชีวิตของเติ้งลี่จวินที่โทรทัศน์ในร้านเดียวกัน แถมเพลงเถียนมีมี่ที่ร้องโดยหลี่ หมิงในตอนจบของเรื่อง ก็ซึ่งกินใจ และให้อารมณ์ความรู้สึกปิดท้ายหลังหนังจบได้เป็นอย่างดี
หนังเรื่องนี้ดีมากๆครับ เป้นหนังเหงาๆที่โรแมนติคแบบไม่หวือหวา มีการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และพิสูจน์ความรักได้ว่าระยะเวลาเป็นแค่ตัวเลข และไม่อาจขวางกั้นความรักที่แท้จริงได้ ไม่มีคำบรรยายจริงๆครับ ขอจำกัดความไว้ 5 คำสั้นๆว่า " รัก เหงา เศร้า ซึ้ง และเยี่ยมยอด "
หนังตลกร้ายสุดเพี้ยนของผู้กำกับที่ถนัดทำหนังชวนหัวแบบนี้เหลือเกินอย่าง เอ็ดการ์ ไรท์ ซึ่งก็ได้ไซม่อน เป็กกลับมาแสดงนำและช่วยเขียนบทเหมือนเดิม ผนวกรวมกันออกมาเป็นหนังตลกร้ายที่ได้คุณภาพครบรส ทั้งตลก ทั้งแอคชั่น ทั้งมันส์ ทั้งหักมุม ด้วยเนื้อเรื่องที่เอื้ออำนวย ทำให้หนังเรื่องนี้จะดูเอาฮาก็ไหว จะดูเอาความมันส์ระทึกใจก็ไม่มีปัญหา
หนังว่าด้วยนิโคลัส แองเจิ้ล นายคำรวจตงฉินที่ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ เขาเป็นคนบ้างานสุดๆ และด้วยความตรงเป็นไม้บรรทัดแบบนี้ ทำให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคนไม่ชอบ และสั่งเด้งเขาไปอยู่ในเมืองที่อัตราการก่ออาชญากรรมน้อยที่สุดในประเทศ ที่นั่นนิโคลัสได้เจอกับเพื่อนตำรวจไม่เอาถ่านที่ชื่อแดนนี่ รวมทั้งตำรวจอีกหลายๆคนที่วันๆเอาแต่นั่งสูบบุหรี่อยู่ในสำนักงาน เพราะทั้งเมืองแทบจะไม่มีงานอะไรให้ต้องทำ นอกจากตามหาสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน หรืออะไรเทือกๆนี้ โดยแทบไม่มีปัญหาการก่ออาชญากรรมใดๆในเมืองเลยตลอดเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว
แต่ด้วยความสมบูรณ์แบบจนน่าสงสัย ทำให้นิโคลัสตรวจสอบพบว่าขณะที่อัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่อัตราการเกิดอุบัติเหตุกลับยาวเป็นหางว่าว และแล้ววันหนึ่งนิโคลัสก็พบว่ามีคนตายอย่างอนาถในเมืองแห่งนี้ แต่ตำรวจในสน.กลับสรุปอย่างง่ายดายว่า "มันเป็นอุบัติเหตุ" แล้วลงบันทึกมันซะอย่างนั้น ทำเอาคนอย่างนิโคลัสปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ก่อนจะสืบลึกลงไปค้นพบความจริงและความลับอันน่าตกใจของชาวเมืองนี้
ฟังพล็อตดูแล้วเหมือนหนังลึกลับมั้ยครับ อันที่จริงมันก็มีฉากการสืบสวนเล็กๆน้อยๆนะครับ แถมหักมุมได้ช็อกใช่เล่น ฉากฮาๆหรือล้อเลียนหนังเรื่องอื่นๆก็มากอยู่ แต่ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมามันหนักไม่เท่าความตลกร้ายของเรื่องครับ โดยเฉพาะฉากเปิดเผยตัวจริงของฆาตกรในเมือง ผมไม่อยากสปอยล์ว่ามันเหมือนชุมนุมล่าแม่มดในสมัยโบราณไม่มีผิด คนใส่ฮูดหัวโบราณยืนประชุมว่าจะฆ่าใครดี โอ้ยย ตลกร้ายสุดๆครับเรื่องนี้
อันดับ 4
A Stranger of mine
หนังญี่ปุ่นสุดฉลาด เขียนบทและกำกับโดยเคนจิ อุชิดะ ด้วยความฉลาดในการเล่าเรื่องทำให้หนังเรื่องนี้คว้ารางวัลสำคัญๆในญี่ปุ่นมาแล้วมากมาย ว่าด้วยความสัมพันธ์ของผู้คนภายในระยะเวลาแค่คืนเดียว แต่ถ่ายทอดออกมาหลากหลายมุมมอง แล้วให้คนดูนำไปปะติดปะต่อเอาเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจยากขนาดต้องดูหลายๆรอบ แถมยังดูสนุกและทำให้เกิดความกระหายใคร่รู้ในการกระทำของแต่ละตัวละคร ว่ามันจะนำไปสู่การลงเอยอย่างไรกันแน่
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องย่อลำบากครับ เพราะหนังเล่าผ่านมุมมองของหลายๆตัวละคร เอาไปว่าผมจะเล่าความตลกร้ายของบางฉากในหนังเรื่องนี้ให้ฟังดีกว่า เริ่มจากเรื่องของเจ้าพ่อแกงค์มาเฟียคนนึง ที่เงินก็ไม่ได้มีมากมาย แต่เนื่องจากต้องวางภาพลักษณ์ให้สมเป็นหัวหน้า จึงทำปึกเงินที่ข้างในมีแต่กระดาษเปล่าขึ้นมา (แปะหน้าด้วยเงินจริงสองด้าน) คุณเจ้าพ่อคนนี้เดินถือฟ่อนเงินที่บรรจุแต่กระดาษเปล่าอวดลูกน้องหลายๆคน รวมทั้งแฟนของตัวเองด้วย จนโดนคุณแฟนหักหลัง ขโมยปึกเงินไปจนหมด โดยไม่รู้ว่าแต่ละฟ่อนที่หยิบมาเนี่ย มีแต่กระดาษเปล่าทั้งนั้น
ซึ่งพอรู้ความจริงว่าเงินตัวเองโดยขโมยไป เจ้าพ่อก็ร้อนรนเต็มที่ ไม่ใช่เพราะเสียดายเงิน แต่เพราะกลัวลูกน้องรู้ว่าตัวเองไม่ได้รวยแบบที่อวดอ้าง ขณะเดียวกับแฟนของเจ้าพ่อก็ไปจ้างนักสืบมาปั่นหัวเล่น จัดฉากให้เป็นแพะรับบาปแทนตัวเองซะ ส่วนตัวเองก็เอาเงินของเจ้าพ่อไปแอบวางไว้ในห้องแฟนเก่าที่เป็นพนักงานบริษัทจอมทึ่ม โดยหารู้ไม่ว่าแฟนเก่ากำลังจะยกห้องของตนให้กับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันแทนที่ตัวเองซะแล้ว
พล็อตเรื่องฟังดูยุ่งยาก ซับซ้อน วุ่นวายนะครับ แต่พอดูจริงๆแล้วเข้าใจง่ายมาก เป็นหนังตลกร้ายที่มีพล็อตฉลาดๆ ตัวละครเยอะ ไม่เล่นตามสูตร เดาทางยาก แต่ดูสนุกมากกว่าที่คิดไว้แน่นอนครับ
อันดับ 3
Burn After Reading
หนังของสองพี่น้องโคเอน ที่ถนัดนักกับการทำหนังตลกร้าย โดยเรื่องนี้ได้ดารานำแสดงเพียบ ทั้งแบรท พิต , จอร์จ คลูนีย์ , ทิลด้า สวินตัน , จอห์น มัลโควิช และฟรานเชส แม็คดอมาน ซึ่งแต่ละคนก็มีดีกรีออสการ์หรือชิงออสการ์ปะหน้ามากันมาพอตัว ซึ่งต้องบอกว่าในหนังเรื่องนี้ ดาราขาใหญ่ทั้งหลายเล่นกันได้รั่วสุดชีวิต และเมื่อผนวกกับบทหนังฉลาดๆของพี่น้องโคเอน ทำให้นี่เป็นหนังตลกร้ายชั้นดีที่กวนฝ่าเท้าเต็มพิกัด
หนังเล่าเรื่องของออสบอร์น ค็อกซ์ ซีไอเอขี้เมาที่ถูกเชิญออกจากงาน จนมีความคิดจะออกไปเขียนหนังสือแฉองค์กรณ์ตัวเองประชดชีวิตกันไปเลย แต่ด้วยความซวย ข้อมูลในแผ่นดิสก์ของเค้ากลับโดนสองพนักงานฟิตเนสอย่างแชทและลินดาเก็บได้ และเมื่อพนักงานสองคนนี้เปิดดูข้อมูลก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่ามันมีแต่ข้อมูลลับทั้งนั้น ทั้งคู่เลยกะจะฟันรายได้จากการแบล็คเมลลุงซีไอเอคนนี้ โดยไม่รู้เรื่องเลยว่าข้อมูลนั้นเป็นเพียงข้อมูลบ้าๆบอๆที่ออสบอร์นจะนำมาไปใส่ในหนังสือของตัวเองเท่านั้น
อีกฝั่งนึงเคธี ภรรยาของออสบอร์นก็นอกใจสามีด้วยการเล่นชู้กับแฮรี่ ซึ่งเป็นเสือผู้หญิงตัวยง ซ้ำร้ายกว่านั้นคือแฮรี่ดันคบอยู่กับลินดาด้วยอีกคน และเรื่องราวเริ่มใหญ่โตขึ้นเมื่อออสบอร์นไม่ให้เงินแก่แชทและลินดาตามที่พวกเขาต้องการ ทำให้แชทและลินดาเอาข้อมูลลับที่จะแต่งเป็นหนังสือของออสบอร์นไปยื่นให้หน่วยสอบสวนพิเศษของรัสเซีย แย่กว่านั้นคือพวกรัสเซียดันเชื่อข้อมูลที่ว่านี่อีก เอาเข้าไป
อ่านแล้วอยากดูมั้ยครับ ผมขอสารภาพว่าดาวโหลดเรื่องนี้มาดูตั้งแต่ก่อนเข้าโรงที่ไทยซะอีก ผมเป็นแฟนลุงจอห์น มัลโควิชน่ะครับ แถมเจอพล็อตเรื่องสุดเพี้ยนแบบนี้เข้าไป หาดูซะเลยดีกว่าแล้วก็ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังจริงๆครับ หนังมันฮา รั่ว เพี้ยน ถ่อย และตลกร้ายสุดขีด ใครอยากดูหนังตลกร้ายแบบแรงๆ ผมแนะนำเรื่องนี้แหละครับว่าตลกร้ายได้สุดขีดจริงๆ
อันดับ 2
Little Miss Sunshine
หนังที่หน้าหนังดูน่ารักมาก แต่แฝงไปด้วยความตลกร้ายตลอดทั้งเรื่อง หนังอินดี้ม้ามืดของผู้กำกับโจนาธาน เดย์ตัน ได้ดาราระดับกลางๆมากมายมาร่วมแสดง เป็นหนังที่จะว่าน่ารักสดใสก็ได้ จะว่าตลกร้ายสุดชีวิตก็ได้เหมือนกัน เพราะหนังที่เล่าเรื่องภายในครอบครัวนี้ กลับเป็นหนังโรดมูฟวี่ที่ตีแผ่ความขี้แพ้ของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนออกมาทีละนิด จนมาถึงฉากจบแสนตลกร้ายที่ทั้งขำทั้งสมเพช
เล่าเรื่องง่ายๆของหนังเรื่องนี้ได้ว่า ครอบครัวฮูเวอร์ ที่ประกอบด้วย พ่อผู้เชื่อมั่นในทฤษฏีความสำเร็จ 9 ประการของตัวเอง และคาดหวังจะตีพิมพ์ทฤษฏีของตัวเองเป็นหนังสือ , แม่ผู้ติดบุหรี่และเลิกไม่ได้ซักที , พี่ชายที่ไม่พูดไม่จากับใครเลยจนกว่าจะสอบเป็นนักบินได้ , น้องสาวที่โดนพ่อพูดให้ฟังซ้ำๆว่าจะชนะการประกวด Little Miss Sunshine ได้แน่นอน , คุณปู่ที่ติดยางอมแงม และน้าชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ที่เป็นเกย์และเคยฆ่าตัวตายมาแล้ว
ดูจากสมาชิกในบ้านก็น่าจะรู้ซึ้งถึงความตลกร้าย แต่เท่านี้ยังไม่พอ เพราะครอบครัวคนขี้แพ้เหล่านี้จะเดินทางไปทำตามฝันของลูกสาวตัวน้อยที่อยากเป็น Little Miss Sunshine เหลือเกิน โดยพวกเขาจะต้องเดินข้ามรัฐไปยังแคลิฟอร์เนีย ด้วยรถตู้เก่าๆของบ้าน และเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมทั้งเหตุการณ์ตลกร้ายตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ยันตอนประกวดบนเวทีด้วยซ้ำ แต่ในตอนจบ หลังจากพบเจอกับเรื่องราวมากมายหลากหลาย พวกเค้าก็อาจจะเรียนรู้วิถีทางที่จะหลุดพ้นหนทางแห่งความขี้แพ้แล้วก็เป็นได้
แม้หนังจะตลกร้าย แต่หนังมันสดใสมากๆครับ สีสันของหนังก็เลือกใช้สีสด สะดุดตา ทั้งฉากทัศนียภาพทั่วไปหรือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของหลายๆตัวละคร ถ้าดูแบบเอาสนุกสนานทั่วไปผมก็แนะนำ เพราะเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี แต่ถ้าจะดูในฐานะหนังตลกร้ายแบบซอฟท์ๆ ผมก็แนะนำและยืนยันได้เลยครับว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
อันดับ 1
เรื่องตลก 69
เป็นหนังไทยเพียงไม่กี่เรื่องที่ผมประทับใจมากๆ ผลงานกำกับของเป็นเอก รัตนเรือง นำแสดงโดยหมิว ลลิตา และคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากหลายๆสถาบันมาครองอย่างเป็นเอกฉันท์ รวมทั้งถูกซื้อไปรีเมกโดยนายทุนจากฮอลิวูดแล้วเรียบร้อย และเป็นหนังแนวตลกร้ายที่ผมคิดว่าดีที่สุดในประเทศไทยนับตั้งแต่ผมดูหนังไทยมาเลยด้วยซ้ำ
หนังเล่าเรื่องของตุ้ม สาวพนักงานบริษัทไฟแนนซ์ที่เพิ่งจับฉลากให้ตัวเองต้องออกจากงาน และไม่มีเงินเหลือใช้อีกต่อไปจนอยากฆ่าตัวตาย แต่แล้ววันหนึ่งตุ้มก็เจอกล่องที่บรรจุเงิน 1 ล้านบาทถ้วนมาวางไว้ที่หน้าห้องหมายเลข 6 ของตัวเอง หลังจากตัดสินใจอยู่นาน ตุ้มก็คิดว่าตัวเองจะเก็บเงินนั้นเอาไว้เป็นของตัวเอง จนได้ยินเสียงเคาะประตูห้องจากเด็กค่ายมวย 2 คนที่มาตามเงินคืน ตุ้มไม่ยอมให้เงินคืน และพลาดพลั้งไปฆ่าทั้งคู่ตาย และหมกศพไว้ในห้อง
ต่อจากนั้นตุ้มก็หาวิธีกำจัดศพ รวมทั้งต้องการเชิดเงินหนีไปประเทศอังกฤษ โดยทั้งหมดต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุด ตุ้มจึงไปทำพาสปอร์ตปลอม โดยหารู้ไม่ว่าผู้รับทำพาสปอร์ปลอมคือเจ้าของค่ายมวย และเป็นคนส่งเด็กค่ายมวยไปส่งเงินด้วยตัวเอง และทั้งหมดนี้นำมาซึ่งเหตุการณ์ยุ่งๆตามมา มีอีกหลายๆคนต้องตายในห้องของตุ้ม และเรื่องทั้งหมดเกิดจากน้ำผึ้งหยดเดียวจนลุกลามใหญ่โต กลายเป็นหนังตลกร้ายชั้นดีที่มีสเน่ห์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนหนังไทยทั่วๆไป
ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านทางเคเบิ้ลทีวี เพราะหาหนังแผ่นลิขสิทธิ์ไม่ได้ซักที เลยต้องเจอกับพวกตัวอักษรศีลธรรมและเซนเซอร์เหล้าบุหรี่ ที่ทำให้อรรถรสของหนังเสียไปพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นหนังดีมากๆอยู่ดี ทั้งบทภาพยนตร์เฉียบขาด ฉลาดหลักแหลม นักแสดงนำระดับคุณภาพ ผู้กำกับระดับอินเตอร์ ผนวกรวมกันเป็นหนังตลกร้ายที่ยอดเยี่ยมและยากจะหาหนังไทยเรื่องใดที่ทำได้ดีเท่ากับเรื่องนี้ ขอแนะนำเป็นอย่างเยิ่ง สำหรับหนังเรื่องตลก 69 สำหรับคอหนังตลกร้ายและคนที่อยากดูหนังไทยดีๆทุกคนครับ
วันที่ 21 มี.ค. 2552
หน้าหนาวแล้ว คุณครูสนใจไหม DoDo เก้าอี้แคมป์ปิ้ง รับน้ำหนักได้เยอะ พร้อมกระเป๋าจัดเก็บ โครงอลูมิเนียมรับน้ำหนักได้200KG ในราคา ฿189 - ฿509 ที่ Shopeehttps://s.shopee.co.th/9pNuttuIUm?share_channel_code=6
Advertisement
เปิดอ่าน 7,158 ครั้ง เปิดอ่าน 7,271 ครั้ง เปิดอ่าน 7,149 ครั้ง เปิดอ่าน 7,233 ครั้ง เปิดอ่าน 7,160 ครั้ง เปิดอ่าน 7,169 ครั้ง เปิดอ่าน 7,437 ครั้ง เปิดอ่าน 7,201 ครั้ง เปิดอ่าน 7,155 ครั้ง เปิดอ่าน 7,258 ครั้ง เปิดอ่าน 7,164 ครั้ง เปิดอ่าน 7,169 ครั้ง เปิดอ่าน 7,161 ครั้ง เปิดอ่าน 7,158 ครั้ง เปิดอ่าน 7,271 ครั้ง เปิดอ่าน 7,167 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,187 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,159 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,149 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,173 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,160 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,154 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 77,617 ครั้ง |
เปิดอ่าน 20,242 ครั้ง |
เปิดอ่าน 22,011 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,431 ครั้ง |
เปิดอ่าน 18,082 ครั้ง |
|
|