"วัดถะสถา"
ที่เขาว่ากันว่า ทรงเกียรติ
ขณะนี้ได้มี "เปรต" ฝูงหนึ่งเข้ามาหากิน
![](http://www.bloggang.com/data/mosika/picture/1193979407.jpg)
โฉมหน้านาย ยกรัดถะโมนตรี หัวหน้าคณะฝูงเปรต
![](http://www.bloggang.com/data/mosika/picture/1193979906.jpg)
ถ่ายรูปร่วมกับ นายรองรัด ถะโมนตรี
![](http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/9/27/141220_59429.jpg)
เหล่าคณะรัดถะโมนเปรต
วันนี้ฝูงเปรตทั้งคณะ กำลังเดินทางสู่ "วัดถะสภา" เพื่อเข้าไปหาเศษหาเลยกิน
และเป็นธรรมดาของพวกเปรต ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่ม
![](http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/region/9/23/177545_84674.jpg)
เปรต เพศเมียชื่อ อาน้งวัน แลบลิ้นปากมัน จะงาบป่า
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - -
![](http://travel.sanook.com/story_picture/m/09387_003.jpg)
งานประเพณีบุญเดือนสิบ 2551
23 กันยายน -2 ตุลาคม 2551
ณ บริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) อำเภอเมือง จ.นครศรีธรรมราช
สืบ สายธารแห่งศรัทธา ที่ถือปฏิบัติมาช้านานของคนคอนในงานประเพณีบุญเดือนสิบอันยิ่งใหญ่ ชมขบวนแห่หมรบ ในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2251 จากสนามหน้าเมืองไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเลือกซื้อสินค้าหลากหลายภายใน บรรยากาศตลาดย้อนยุคสนุกกับมหกรรมการแสดงมากมาย
สารทเดือนสิบ
พีธีกรรม เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พญายมปล่อยตัวผู้ล่วงลับไปแล้วที่ (เรียกว่า "เปรต") มาจากนรก สำหรับวันนี้บางคนก็ประกอบพิธี บางคนจะประกอบพิธีในวันแรม 13 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ โดยการนำอาหารไปทำบุญที่วัดเรียกว่า "หม.รับเล็ก" เป็นการต้อนรับบรรพบุรุษ และญาติมิตรที่ขึ้นมาจากนรกเท่านั้น
การเตรียมการสำหรับประเพณีสารทเดือนสิบ เริ่มขึ้นในวันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 วันนี้ เรียกว่า "วันจ่าย" เป็นวันที่เตรียมหม.รับ และจัดหม.รับ คือการเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดหม.รับ เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้วก็เตรียมจัดหม.รับรับการจัดหม.รับแต่เดิมใช้กระบุงเตี้ย ๆ ขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ แต่ภายหลังใช้ภาชนะได้หลายชนิด เช่น กระจาด ถาด กะละมัง ถัง หรือ กระเชอ สำหรับสิ่งของการจัดหม.รับ ชั้นแรกใส่ข้าวสารรองกระบุงแล้วใส่หอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล และเครื่องปรุงอาหารคาว หวาน ที่เก็บไว้ได้นาน ๆ เช่น มะพร้าว ฟัก มัน กล้วย (ที่ยังไม่สุก) อ้อย ข้าวโพด ข่า ตะไคร้ ขมิ้น และพืชผักอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันก๊าดไต้ ไม้ขีดไฟ หม้อ กะทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย เครื่องเชี่ยนหมาก ได้แก่ หมาก พลู ปูน กานพลู การบูน พิมเสน สีเสียด ยาเส้น บุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน ธูปเทียน แล้วใส่สิ่งอันเป็นหัวใจอันสำคัญของหม.รับคือ ขนม 5 อย่างมี ดังนี้
![](http://www.krusupap.com/images/1166714775/1170173409.jpg)
ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
![](http://www.becnews.com/backissue/k_knowthai/images%20knowthai/230946.jpg)
ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับบุรพชน ใช้ลอ่งข้ามห้วงมหรรณพ
ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับบุรพชนจะได้ใช้เล่นสะบ้า ในวันสงกรานต์
ขนมกง (ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย
![](http://gotoknow.org/file/kruchamnong/Copy+of+P1050428.jpg)
หมรับ
การประกอบพิธี
1. การยกหม.รับ การนำหม.รับที่จัดเตรียมไว้ในวันแรม 13 ค่ำ ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัด เรียกว่า "วันยกหม.รับ" การยกหม.รับไปวัดจะจัดเป็นขบวนแห่ อาจเป็นขบวนเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่ ขนาดของหม.รับ และจำนวนคนที่ร่วมกันจัดหม.รับ คือ อาจจะมี 3 - 4 คน หรือ 10 - 20 คน หรือ 100 คน ถ้าเป็นหม.รับใหญ่ ก็จะมีขบวนแห่ใหญ่โต ผู้ร่วมขบวนก็จะแต่งตัวสวยงาม หรืออาจแต่งเป็น "เปรต" แล้วแต่ความคิดของผู้ร่วมขบวนแห่
2. การตั้งเปรต เมื่อยกหม.รับและถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์แล้ว ก็จะมีการ "ตั้งเปรต"โดยการนำเอาขนมส่วนหนึ่งไปวางไว้ในที่ ต่าง ๆ ตรงทางเข้าวัด ริมกำแพงวัด หรือตามโคนต้นไม้เพื่อแผ่ส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับไปที่ไม่มีญาติ หรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญด้วย ส่วนการตั้งเปรตในระยะหลังได้มีการสร้างร้านสูงพอสมควรเรียกว่า "หลาเปรต" หรือ "ศาลเปรต" แล้วนำขนมไปวางไว้บนร้านนั้น นำสายสิญจน์ที่พระสงฆ์จับเพื่อสวดบังสุกุลมาผูกไว้กับหลาเปรต เพื่อแผ่ส่วนบุญกุศลไปยังผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า "ชิงเปรต" คนเฒ่าแก่หนุ่มสาวและเด็ก ๆ ก็จะกรูกันเข้าไปแย่งขนมที่ตั้งเปรต เชื่อที่ว่าของที่เหลือจากการเซ่นไหว้ ใครได้ไปกินก็จะได้กุศลแรง เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
3. การฉลองหม.รับและการบังสุกุล กระทำกันในวันแรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันสารท มีการทำบุญเพื่อเป็นการฉลองหม.รับ เรียกว่า "วันฉลองหม.รับ" นอกจากนี้มีการทำบุญเลี้ยงพระและการบังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องกลับไปเมืองนรก หากมิได้จัดหม.รับหรือทำบุญ อุทิศส่วนกุศลที่วัดในวันนี้ บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วจะอดอยาก ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นคนอกตัญญู
วิวัฒนาการ ปัจจุบันประเพณีสารทเดือนสิบของเมืองนครศรึธรรมราชได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งพิธีการและรูปแบบคือ เนื่องจากในวันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 ที่เรียกว่า "วันจ่าย" ชาวนครจะชวนกันไปชุมนุมซื้อของตามที่นัดหมาย หรือตามตลาดจ่ายต่าง ๆ กันมาก ดังนั้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมาได้จัดงานรื่นเริงสมทบกับประเพณีสารทเดือนสิบด้วยด้วยชื่อว่า "สารทเดือนสิบ" จัดขึ้นที่สนามหน้าเมืองเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2466 และจัดสืบมาถึงปัจจุบัน อนึ่ง ในวันแรม 15 ค่ ำ เดือนสิบ ซึ่งเป็นวันยกหม.รับนั้น มีการจัดขบวนแห่หม.รับกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนำหม.รับไปประกวดที่ศาลาประดู่หก และหม.รับก็จะจัดแต่งอย่างสวยงามเพื่อประกวดแข่งขันกันด้วย ส่วนตามชนบทก็ยังคงปฏิบัติตามแบบเดิม
![](http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/135/135/images/pradyala/yala-105.jpg)
ชิงเปรต
เป็นประเพณีเนื่องในเทศกาลวันสารทเดือนสิบของชาวภาคใต้ โดยทำร้าน จัดหฺมฺรับอาหารคาวหวาน ไปวางเพื่อุทิศส่วนกุศลส่งไปให้เปรตชน (ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว) หลังจากวางหฺมฺรับลงบนร้านเปรตแล้ว พวกลูกหลานที่ยังมีชีวิตก็จะเข้าแย่งอาหาดรนั้นแทน จึงเรียกว่า "ชิงเปรต"
พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวไว้ในสารานุกรมราชบัณฑิตยสถานว่าการชิงเปรตที่ปฏิบัติกันในประเพณี สารทเดือนสิบนี้ มีลักาณะคล้ายกับการทิ้งกระจาดของจีน ดังความตอนหนึ่งว่า
"เรื่องชิงเปรต นี้ ดูไม่ผิดอะไรกับเรื่องทิ้งกระจาดของจีนที่เขาทำในกลางเดือน 7 ของเขา ซึ่งตรงกับเดือน 9 ของไทย คือ เขาปลูกเป็นร้านยกพื้นสูง นำเอาขนมผลไม้เป็นกระจาดขึ้นไปไว้บนนั้น นอกนี้ยังมีของมีราคาเช่นเสื้อผ้า หุ้มคลุมบนเครื่องสานไม้ไผ่คล้ายตะกร้า เมื่อถึงเวลามีเข้าหน้าที่ 2 - 3 คนขึ้นไปประจำอยู่บนนั้นแล้วจับโยนสิ่งของบนพื้นลงมาข้างล่างให้แย่งชิง กัน เดิมเห็นจะโยนทิ้งลงมาทั้งกระจาด จึงได้เรยกชื่อว่าอย่างนั้น ต่อมาใช้หยิบของในกระจาดบนร้านทิ้งลงมาเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าโดยส่วนมากเป็นผ้าขาวม้า เขาทิ้งลงมาทั้งตะกร้าที่อาผ้าติดไว้ ผลไม้และชนมโดยมากเป็นขนมแข่ง ที่ทิ้งลงมานั้นมีแต่พวกเด็ก ๆ และผู้หญิงแย่งกัน ส่วนผู้ชายไม่ใคร่แย่งเพราะคอยแย่งเสื้อผ้าดีกว่าลูกไม้ และขนมที่ทิ้งมากว่าจะแย่งเอาได้ก็เหลวแหลกบ้างเป็นธรรมดา แต่เสื้อผ้าที่ทิ้งลงมานั้นแย่งกันจนขาดไม่มีชิ้นดี บางทีคนแย่งไม่ทันใจปีน ร้านขึ้นไปแย่งกันบนนั้น เจ้าหน้าที่มีน้อยห้ามไม่ไหว คราวนี้ชุลมุนวุ่นวายกันใหญ่ ถึงกับร้านทานน้ำหนักไม่ไหวพังลงมาก็เคยมี ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นทิ้งสลากสำหรับเสื้อผ้า ส่วนของอื่นยังคงทิ้งลงมาให้แย่งกัน การทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานรให้แก่พวกผีไม่มีญาติ ส่วนการไหว้เจ้าชิดง่วยปั่วหรือสารทกลางปีของเขา เป็นการเซนผีปู่ย่าตายายคือทำบุญให้แก่ญาติที่ตายไป"
การทิ้งกระจาดของจีนมีป้าเมหายตรง กับการตั้งเปรด - ชิงเปรตของไทยเพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือากดรทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานให้แก่พวกผีไม่มีญาติเท่านั้น ส่วนการตั้งเปรต - ชิงเปรดของไทยเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งผี (เปรต) ทั้งที่เป็นญาติพี่น้องของตนเองและที่ไม่มีญาติด้วย นอกจาน้นแล้ววิธีการปฏิบัติในการทิ้งกระจาดและการชิงเปรตก็ต่างกันด้วย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แต่ก็ยังมีเปรตอีกหลายตัว ที่ไม่สามารถเข้าไปยัง "วัดถะสภา" ได้
เนื่องจากเป็นเปรตไร้ญาติ หรือญาติไม่มีอำนาจพอจึงไม่มีใครช่วยผลักดันส่งเสริม
ให้เข้า "วัดถะสภา" ได้
![](http://www.thairath.co.th/2550/newspic/gallerypicture/8020-7491.jpg)
หลังจากที่ได้เห็นหน้าตาของเปรตฝูงนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การจะสามารถเข้ามาหากินใน "วัดถะสภา" ของฝูงเปรตได้นั้นต้องได้รับอณุญาตจาก
ยมมะทัก
จากนรกภูมิขุมลอนดอน ที่รู้จักกันดี
![](http://www.dkimages.com/discover/previews/766/44820.JPG)
- - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
และจากการค้นหาภาพทำให้ผมได้เจอ entry เก่าๆดีๆเกี่ยวกับประเพณีเดือนสิบ ของ "เณรรูน" ที่นี่ครับ
บุญเดือนสิบ วิถีสะท้อนความกตัญญูต่อบรรพบุรุษของคนใต้
โดย "วัฒน์"
|