Advertisement
คุณยายบ้านขยะ
ทุกๆวันยามเย็น เมื่อแดดล่มลมตก ชาวบ้านละแวกนี้มักจะเห็นภาพที่คุ้นเคยคือ
ยายแก่อายุราวๆ 70 ปี เดินคุ้ยหาขยะ และนำกลับไปสะสมไว้ที่บ้านของตนเอง
จนตอนนี้ขยะได้สุมอยู่ทั้งในและนอกบริเวณบ้าน ปดบังจนไม่เห็นว่าสภาพเก่า
ก่อนของบ้านว่าเคยเป็นเช่นไร คุณยายกินนอนอยู่บนกองขยะพวกนั้นเหมือน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา 12 ปีแล้ว ชาวบ้านเอือมละอากับพฤติกรรมของคุณยาย
พยายามเข้าไปตักเตือนแต่คุณยายก็ไม่สนใจ นานวันเข้าขยะเริ่มเน่าเหม็น
ชาวบ้านรวบรวมเงินเพื่อจ้างคนเก็บขยะมาเก็บกวาด แต่คุณยายก็ไม่ยอม
ออกมาปกป้องขยะพวกนั้นเหมือนดั่งของรัก
เอย ชิดชนก พรรักษา ดาราสาวชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดละคร กำลังเตรียมการ
เขียนบทละครเรื่องใหม่ เธอตัดสินใจซื้อบ้านในย่านที่แสนสงบสุขแห่งนี้ เพื่อทำ
การลงมือเขียนบท แต่แค่วันแรกที่เธอย้ายเข้ามาก็มีสิ่งที่รบกวนจิตใจของเธอจน
ไม่สามารถเขียนต่อไปได้ สิ่งนั้นคือ กลิ่น กลิ่นเหม็นจากที่ไหนซักแห่ง ด้วยความ
ข้องใจ เธอตัดสินใจเดินออกไปดู และพบบ้านขยะหลังนั้น อยู่เยื้องจากบ้านของ
เธอถัดไป 3 หลัง ขยะที่กองเต็มไปหมดทำให้เธอตกใจและหายสงสัยว่า ทำไม
บ้านหลังงามอันเงียบสงบที่เธอซื้อ จึงได้มีราคาถูกแสนถูกอย่างนี้ เธอเดินเข้าไป
กดกริ่งบ้านขยะทันที แล้วสิ่งที่เธอเห็นก็คือ คุณยายแทรกตัวผ่านกองขยะออกมา
ทางหน้าต่าง
“หนูมีธุระอะไรเหรอ” คุณยายพูดกับเธอด้วยท่าทางใจดี
“ก็บ้านของคุณยายมีขยะเยอะขนาดนี้ ไม่คิดที่จะเก็บกวาดบ้างเหรอค่ะ”
เธอถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ได้หรอก เพราะขยะเหล่านี้เป็นเรื่องราวของฉัน” คุณยายตอบ
เธอหัวเสียเล็กน้อย ขมวดคิ้ว ทำท่าทางไม่เข้าใจ
“แต่มันรบกวนเพื่อนบ้าน กลิ่นก็เห็น ขยะก็กองล้นออกมากีดขวางทางจราจร”
คุณยายไม่สนใจ และพยายามจะมุดกลับเข้าไปในตัวบ้าน เธอยกเหตุผลต่างๆนาๆ
มาพูดกับคุณยาย แต่ไม่เป็นผล คุณยายมุดกลับเข้าไปในตัวบ้านแล้ว เธอโมโหใหญ่
พยายามกดกริ่งย้ำๆเพื่อให้คุณยายกลับออกมา แล้วคุณยายก็ชะโงกหน้าออกมา
พูดก่อนกลับเข้าไปว่า
“รู้ไหมหนู ขยะทุกชิ้นมันมีเรื่องราวของมัน” เธอไม่เข้าใจ
แล้วคำถามนั้นก็ยังคงรบกวนจิตใจของเธอตลอดเวลาเมื่อกลับถึงบ้าน เธอเขียน
อะไรไม่ได้เลยในวันนี้ คอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เธอเดินไปปิดหน้าต่างรอบบ้าน
ฉีดสเปรย์ปรับอากาศและเปิดแอร์เพื่อไล่กลิ่นเหม็นพวกนั้น เธอหลับลงทันที
ขณะนั่งพักผ่อน คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากความเครียดในวันนี้เป็นแน่
วันรุ่งขึ้นเธอพยายามลบความสงสัยนั้นด้วยการกลับไปที่บ้านของคุณยายอีกครั้ง
และเธอก็ได้เห็นคุณยายอยู่ที่บ้านพอดี คุณยายกำลังทำอะไรบางอย่างกับขยะ
พวกนั้น เธอจึงเข้าไปถาม
“คุณยายค่ะ จำหนูได้รึเปล่า”
“จำได้สิ หนูที่มาที่นี่เมื่อวาน” คุณยายหยุดตอบก่อนจะเลือกขยะต่อ
“แล้วคุณยายกำลังทำอะไรค่ะ”
“กำลังทิ้งขยะ” คุณยายตอบมาแบบหน้าตาเฉย
“ขยะเยอะขนาดนี้จะเก็บคนเดียวไหวเหรอค่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่คงต้องเก็บแล้ว มันไม่จำเป็น” เธองงๆกับคำตอบของคุณยาย
“คุณยายเก็บขยะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ”
“12 ปี” เธอตกใจมากเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
“แล้วเก็บขยะพวกนี้มาทำไมค่ะ”
คุณยายหยุดมือและเริ่มเล่าเรื่องราวตั่งแต่เมื่อ 18 ปีก่อนให้เธอฟัง บ้านที่เคย
สะอาดสะอ้าน มีคุณยาย คุณตา ลูกสาวคนเดียว ลูกเขย และ หลานสาว
ครอบครัวใหญ่มีกัน 5 คน ดูอบอุ่นและมีความสุขมาก คุณยายไม่เคยออกนอนตัว
บ้านเลยตั้งแต่ เฟิร์น หลานสาวคลอดออกมาในปี พ.ศ. 2532 คุณยายรักหลาน
สาวคนนี้มาก เวลาที่ทุกคนออกไปทำงาน คุณยายก็จะเลี้ยงหลานสาวคนนี้เอง
ชีวิตของคุณยายเป็นอย่างนี้จน พ.ศ. 2537 เฟิร์นอายุได้ 4 ขวบกว่า ก็เข้าโรงเรียน
อนุบาล ส่วนคุณตาก็มาเสียชีวิตไปด้วยโรคไต คุณยายเลยต้องอยู่บ้านตัวคนเดียว
รอเพียงวันเสาร์อาทิตย์ที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ก็เกิดขึ้นในวันหยุดยาว ทั้งครอบครัวตัดสินใจไปเที่ยวทะเลด้วยกัน แต่คุณยาย
ปฏิเสธที่จะไปด้วย การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น หลานเฟิร์นยังโทรกลับมาเล่า
ให้คุณยายฟังถึงความสนุกสนานของการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ แต่พอขากลับ วันนั้น
ฝนตกหนัก มีรถใหญ่แซงซ้ายมาปาดหน้ารถของพวกเขา รถหักหลบเสียงหลักพุ่ง
ชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง แล้วอุบัติเหตุครั้งนั้นก็พรากชีวิตทุกคนไปจากชีวิตคุณยาย
พ.ศ. 2538 หลังจากขลุกตัวในบ้านอยู่นาน คุณยายก็ตัดสินใจเดินออกมาจากบ้าน
เตร็ดเตร่ไปเรื่อยแล้วก็ได้พบกับกองขยะประจำซอย ทุกคนในซอยจะเอาขยะมา
ทิ้งที่นี่ ของมีค่ามากมายถูกทิ้งอย่างไม่แยแส คุณยายเริ่มเก็บของพวกนั้นมาไว้ใช้
บ้างไว้ขายบ้าง และนับวันของที่ใช้ไม่ได้ขายไม่ได้ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็น
กองขยะที่ไร้ค่า ระหว่างที่กำลังจะแยกของไปทิ้ง คุณยายก็ได้พบกับโลกใบใหม่
โลกภายนอกที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ต่างกับชีวิตคุณยายโดยสิ้นเชิง
“เพราะอะไรเหรอค่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ขยะพวกนี้เป็นเพื่อนของฉัน พวกเขามีเรื่องราวมาเล่าให้ฉันฟังไม่เว้นแต่ละวัน”
“เพื่อน”
“ใช่ เพื่อน” คุณยายยิ้ม
ตลอดเวลาก่อนหน้านั้นคุณยายก็มีแต่ครอบครัว ได้อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน
พอได้อยู่กับขยะพวกนี้ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ข่าวจากหนังสือพิมพ์
เศษกระดาษโน๊ต รูปวาดที่วาดไม่เสร็จ จดหมายที่เขียนถึงกัน เรื่องราวมากมาย
แม้มันจะไม่ประติดประต่อ แต่มันก็ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวหล่อเลี้ยงชีวิตที่หยุดนิ่ง
ของคุณยายให้เคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
“ครืน...” เสียงกองซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปล้มลงมา กระจักกระจายเต็มพื้นไปหมด
เธอตกใจ
“คุณยายจะเก็บไว้ชิงโชคเหรอค่ะ”
“เปล่าหรอก มันเป็นของคนข้างบ้าน”
ระหว่างที่เธอและคุณยายช่วยกันเก็บซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพวกนั้น คุณยายก็เริ่ม
เล่าเรื่องราวของคนข้างบ้านคนนั้นให้ฟัง เขาเป็นเศรษฐีใหม่มาแรง บริษัทเงินทุน
หลักทรัพย์ของเขากำลังไปได้ดี จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 2540 เหตุการณ์ฟองสบู่แตก
ก็เกิดขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทลอยตัว บริษัทของเขาล้มละลาย และเขาเองก็ถูกพ้อง
ล้มละลายด้วยเช่นกัน เขาและลูกเมีย 3 ชีวิตเลยต้องเลี้ยงปากท้องตัวเองด้วย
การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวันละ 3 มื้อ พวกเขาต้องอยู่อย่างจำกัดจำเขียดแบบนั้น
เป็นเวลาถึง 2 ปี และปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อลูกชายจอมแสบที่ชอบทำข้าวของ
ในบ้านพังอยู่เสมอ สังเกตได้จากของใช้ที่ถูกนำมาทิ้งไว้หน้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน
อุตริส่งซองบะหมี่พวกนี้ไปชิงโชค และมันก็เกิดได้รางวัลที่ 1 ขึ้นมา พวกเขาได้
เงินรางวัลถึง 10 ล้านบาท วันรุ่งขึ้นนักข่าวก็แห่มาเพื่อสำภาษณ์เต็มไปหมด
แต่พวกเขาย้ายบ้านหนีไปซะแล้ว ซองบะหมี่เหล่านี้คือสิ่งเดียวของพวกเขา
ทิ้งไว้ต่างหน้า
“งั้นคุณยายจะทิ้งมันไหม”
“ทิ้งสิ”
คุณยายก้มลงโกยซองบะหมี่พวกนั้นใส่ถุงขยะ เธอก้มลงไปช่วยเก็บขยะพวกนั้น
กับคุณยายด้วย เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่า ไม่รู้ว่าด้วยความเพลิดเพลินจาก
เรื่องเล่าเกี่ยวกับขยะของคุณยาย หรือการเก็บขยะเป็นเรื่องสนุกกันแน่ หน้าบ้าน
ที่เต็มไปด้วยกองขยะ กลับสะอาดสะอ้านอย่างไม่น่าเชื่อ คุณยายบอกให้เธอ
วางมือและเข้าไปทานอะไรในบ้านกัน พอเปิดประตูเท่านั้น ขยะมากมายทะลัก
ออกมาเกลื่อนพื้น คุณยายบอกว่าประตูมันไม่ได้ถูกเปิดมาหลายปี คุณยายเข้า
ออกบ้านหลังนี้ทางหน้าต่าง ดังนั้นจึงมีขยะมาอัดอยู่ที่หน้าประตู เธอเดินย่ำขยะ
พวกนั้นเข้าไปในตัวบ้าน และคุณยายก็เดินเข้าไปในครัวง่วนอยู่กับการทำอะไร
ซักอย่าง แล้วไม่นานสตูเนื้อท่าทางน่าทานก็ถูกวางไว้บนโต๊ะพร้อมซุบเห็ด
กลิ่นหอมฉุย
“ทำไมคุณยายถึงทำอาหารฝรั่งเก่งขนาดนี้ค่ะ”
“ทานดูก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง”
คุณยายเดินไปหยิบเศษกระดาษอะไรซักอย่างออกจากลิ้นชัก แล้วเริ่มเล่าเรื่อง
เกี่ยวกับบ้านหลังที่ถัดไปจากบ้านของคุณยายสองหลัง พ.ศ. 2544 ครอบครัวนั้น
ที่ประกอบไปด้วย พ่อ กับลูกชายอายุ 18 ปี พอเรียนจบมัธยม พ่อก็ส่งลูกชายไป
อยู่กับแม่ที่อเมริกาฯ แต่ด้วยความที่แม่ทำงานเป็นนักธุรกิจ จึงไม่ค่อยได้อยู่
ติดบ้าน สิ่งเดียวที่จะแก้เหงาให้เขาได้ก็คือ การเขียนจดหมายคุยกับพ่อ แม้ยุค
สมัยนั้นการส่ง E-Mail จะเป็นเรื่องง่ายแล้วก็ตาม แต่เขาก็อยากจะเห็นลายมือ
ของพ่อมากกว่าที่จะเห็นตัวพิมพ์ที่ไร้ความรู้สึกพวกนั้น แม่ทิ้งให้เขาอยู่บ้าน
คนเดียว เวลาหิวก็มีแต่เมนูไข่เท่านั้นที่เขาพอจะทำได้ ดังนั้นเขาจึงขอร้อง
ให้พ่อสอนทำอาหารทางจดหมาย
พ่อซึ่งไม่ได้ประสากับการทำอาหารเหมือนกัน แต่ก็พยายามหาสูตรอาหารฝรั่ง
ต่างๆมาลองทำเอง เพื่อจะได้สอนวิธีพวกนั้นให้กับลูกชาย เริ่มจากอาหารทำ
ง่ายๆอย่างสปาเก็ทตี้ แล้วก็เริ่มเป็นอาหารที่ยากขึ้นอย่างไก่อบ พิซซ่า ลาซานย่า
แล้วการทำอาหาร ก็ส่งความรู้สึกดีๆจากเมืองไทยไปถึงอเมริกาอย่างไม่ขาดสาย
วันหนึ่งเขาตัดสินใจไปดูงานที่แม่ทำ โดยไม่ได้นัดกับเธอก่อน แต่พอขึ้นไปบนตึก
ที่เธอทำงานกลับไม่เจอ เวลานั้นเอง เครื่องบินลำยักษ์ 2 ลำก็พุ่งชนเข้ามาที่ตึก
ตอนนั้นแม่ของเขาก็ขับรถมาถึงที่นั่นพอดี เธอเห็นเหตุการณ์นั้นก็ลนลานรีบวิ่งหนี
ออกมาจากตัวรถ ผู้คนข้างล่างก็อลหม่านกันยกใหญ่ แล้วโทรศัพท์ทางไกลจาก
เมืองไทยก็ดังขึ้น
“คุณ...ลูกไปหาคุณที่ทำงานรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงสั่นๆ
“แต่ลูกเขียนจดหมายบอกผมว่า เค้าจะไปหาคุณวันที่ 11 กันยายน 2001”
หลังจากโศกนาถกรรมนั้น ศพของเขาถูกพบอยู่ในซากตึก พ่อซึ่งอยู่เมืองไทย
ก็เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายบรรยายเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ พร้อมสูตรอาหาร
สตูเนื้อ ที่เขาเรียกร้องให้พ่อส่งไปให้นานแล้ว แต่พ่อก็ไม่เคยส่งไปเพราะ
พยายามทำเท่าไหร่รสชาติมันก็ยังไม่ถูกปากเสียที พ่อต้องการจะเผาจดหมาย
ฉบับนี้ไปกับศพของลูกชายแต่ก็ไม่ได้ทำ สุดท้าย พ่อก็ทิ้งเรื่องราวทั้งหมดไว้
ภายหลัง และตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่กับภรรยาที่อเมริกา
เธอทานอาหารไปก็ร้องให้ไป คุณยายจึงไปหยิบกระดาษทิชชูมาให้เธอซับน้ำตา
“รู้ไหม กระดาษทิชชูพวกนี้ก็เป็นขยะเหมือนกัน”
เธอชะงักพักหนึ่ง แล้วค่อยดูรอบๆม้วนกระดาษก็ไม่พบอะไร
“ก็ของใหม่นี่ค่ะ”
“เปล่าหรอก...มันเป็นของทิ้งแล้วจริงๆ”
บ้านหลังตรงข้ามของคุณยาย เป็นบ้านที่มีกลุ่มหนุ่มๆนิสิตจบใหม่ 4 คน ซื้อไว้
ตั่งแต่สมัยเรียน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน
จนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะแต่งงาน พวกนั้นเป็นเพื่อนบ้านที่ดีเวลามีงานอะไร
ก็ช่วยเหลืออย่างไม่หวังสิ่งตอบแทน นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นเด็กกิจกรรม
ที่คอยช่วยเหลือมูลนิธิและองค์กรต่างๆอย่างสม่ำเสมอ วันที่ 29 ธันวาคม 2547
เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทำให้ผู้คนเสียชีวิต
จำนวนมาก เสียบ้าน เสียทรัพย์สินที่หากันมาทั้งชีวิต ไม่มีอะไรสามารถทดแทน
สิ่งที่สูญเสียไปได้ แต่คนไทยก็ไม่เคยแล้งน้ำใจ เงินทองและของใช้มากมาย
ก็ถูกส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้ง 4 หนุ่มบ้านนี้ด้วย
พวกเขาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะรวบรวมของใช้เงินบริจาคทั้งหมด เพื่อนำลงไปส่ง
ให้กับผู้ประสบภัยด้วยตนเอง เริ่มจากการสร้างบู๊ตขึ้นขึ้นมาหน้าบ้านเพื่อขอ
รับบริจาคเงินและของใช้จำเป็นจากคนในหมู่บ้าน สิ่งของและเงินจำนวนมาก
ถูกขนขึ้นไปบนรถบรรทุกของ 1 ใน 4 หนุ่มที่มีครอบครัวเป็นเจ้าของกิจการ
รถบรรทุกขนส่ง พวกเขาทำแบบนี้ 3 - 4 ครั้งติดต่อกันจนถึงครั้งที่ 5 พวกเขา
ตัดสินใจที่จะลงไปช่วยเหลือด้วยตนเอง โดยจะลงไปเป็นแรงงานช่วยผู้ประสบ
ภัยสร้างบ้าน รักษาพยาบาล ทำอาหาร และทำบัญชี ใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนกัน
มาให้เป็นประโยชน์ แต่ด้วยความที่คนแถวนั้นไม่รู้ข่าวคราวที่พวกเขาออกเดิน
ทางลงใต้ไปแล้ว จึงได้มีของอย่าง อาหารแห้ง น้ำเปล่า กระดาษทิชชู และข้าว
ของเครื่องใช้มากมายวางบริจาคอยู่บริเวณหน้าบ้านของพวกเขา คุณยายเห็น
ของพวกนั้นไม่มีใครคิดจะนำกลับไปอยู่แล้วก็เลยเก็บเอาไว้ใช้เอง
เวลาผ่านไปได้ 2 เดือน 3 ใน 4 หนุ่มก็กลับขึ้นมาย้ายข้าวของออกจากบ้าน
จนหมด และติดประกาศขายบ้านหลังนั้น ช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา คงเป็น
เวลาที่ทำให้หนึ่งหนุ่มที่ไม่ได้กลับมาด้วย พบความรักที่งดงาม ท่ามกลาง
ความช่วยเหลือ น้ำใจ และมิตรภาพ แม้มันจะทำให้ทั้ง 4 ต้องแยกย้ายกัน
ไปคนละทิศละทาง แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันจะอยู่ในความทรงจำของ
พวกเขาตลอดไป
เธอน้ำตาซึมอีกครั้ง “หนูเข้าใจแล้วค่ะ ว่าขยะมันมีเรื่องราวของมันจริงๆ”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ยายแก่สติไม่ดีอย่างที่คนแถวนี้เค้าเรียกกัน”
คุณยายอย่างปลงๆ
เธอเดินเข้าไปสวมกอดคุณยาย แล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีก
“ขยะพวกนี้ไม่ต้องทิ้งไปก็ได้นะค่ะ”
“ไม่ได้” คุณยายปฏิเสธเสียง แล้วบอกว่า
“ขยะพวกนี้ไม่จำเป็นต่อฉันแล้ว ฉันกำลังจะตาย หมอบอกฉันว่าอย่างนั้น”
“แต่มันเป็นความทรงจำทั้งหมดของคุณยายนะค่ะ”
“ไม่หรอก ความทรงจำมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ แล้วตอนนี้ ฉันก็ได้
มอบความทรงจำทั้งหมดให้คนที่ควรมีชีวิตอยู่อย่างหนู เก็บเรื่องราวทั้งหมด
เอาไว้นะ แล้วส่งมอบให้กับคนที่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เธอสวมกอดคุณยายอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บขยะที่มีเรื่องราวมากมายไปทิ้งจนหมด
และบ้านที่น่าอยู่ก็เผยโฉมให้คุณยายได้สัมผัส ภาพที่เคยมี คุณยาย คุณตา
ลูกสาว ลูกเขย และหลานเฟิร์น อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ปรากฏในความทรงจำ
ของคุณยายอีกครั้ง ภาพเหล่านี้จะเป็นความทรงจำสุดท้าย ที่คุณยายอยาก
จดจำก่อนที่จะถึง วาระสุดท้ายของชีวิต
เวลาผ่านไป 1 ปี ละครเรื่อง “คุณยายบ้านขยะ” ที่เธอเป็นผู้จัดและเขียนบทเอง
ก็ออกฉายทางโทรทัศน์และได้รับความนิยมอย่างสูง แม้ตัวคุณยายจะไม่มี
โอกาสได้ดูมันอีกแล้ว แต่ละครเรื่องนี้ได้บันทึกเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับ
คุณยายลงไป เพื่อสานต่อสิ่งที่คุณยายบอกเธอเอาไว้ว่า
“เก็บเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้นะ แล้วส่งมอบให้กับคนที่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป”
############### |
|
|
วันที่ 9 มี.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,261 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,152 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,135 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 7,924 ครั้ง |
เปิดอ่าน 1,682 ครั้ง |
เปิดอ่าน 9,648 ครั้ง |
เปิดอ่าน 11,542 ครั้ง |
เปิดอ่าน 16,613 ครั้ง |
|
|