คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ขอบตาดำเกิดจากนอนน้อย นอนดึกแต่จริงๆแล้วมีเรื่องซ่อนเร้นมากกว่านั้น ร่างกายของคนเราจะมีสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเสมอแต่น่าเสียดายที่คนเราไม่เข้าใจ
หรือ ไม่รู้ว่าร่างกายต้องการบอกอะไรเรา
คนที่ขอบตาดำพึงระวังไว้ว่าร่างกายกำลังเตือนเรา ว่าไตกำลังจะเสื่อม !
ไม่ต้องตกใจค่ะ ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือวัยกลางคน หรือ แก่ชรา ล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น
พูดถึงไตเสื่อมนะคะ ไม่ใช่โรคไต ตามที่เราเข้าใจกัน ไตเป็นอวัยวะภายในที่ทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกาย
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆอย่างของไต
หน้าที่อีกหลายอย่างของไต ถ้ากล่าวถึงทั้งหมด เกรงจะยิ่งยาว จึงสรุปให้สั้นๆว่า ไตนั้นเปรียบเหมือน GM หรือผจก.ของร่างกาย
คนเราโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ ใช้ชีวิตกันในรูปแบบที่สุขภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการทำร้ายไตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป หรือ อาหารที่มีปัจจัยหยินหยางไม่สมดุลกับร่างกายตัวเอง
(เค็มมาก มันมาก เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารอุตสาหกรรมต่างๆฯลฯ )
อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง ทั้งนอนน้อยเกินไป นอนมากเกินไป นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย
(รวมถึงการออกกำลังที่ไม่เหมาะกับสภาวะของร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดันมาก รีบเร่ง
มาก ฯลฯ
คนในยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะอยู่ในภาวะไตเสื่อมมากขึ้น และให้สังเกตสภาพร่างกายของตัวเองดังต่อไปนี้ครับ
1.มักจะอ่อนเพลียบ่อยขาดความกระตือรือร้น
2.นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท
3.ปัสสาวะบ่อย หรือกะปริดกะปรอย
4.ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5.จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืมขี้วิตกกังวล
7.หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8.ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอกผมร่วงก่อนวัย
จริงๆมีเยอะกว่านี้นะคะ....เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน คือ ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้งหมดนะคะ
แต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเอง และคนรอบข้าง
ทีนี้มาดูกันนะคะว่า อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อมกัน
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : ทำงานหนักเกินไป หามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน หรือ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
2. เพศสัมพันธ์ : การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และการหลั่งน้ำอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
3. การทานยารักษาใดๆเป็นระยะเวลานาน หรือ ในปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่
ยังมีอีกมาก แต่ค่อนข้างจะลงรายละเอียดเยอะไปแล้ว แค่นี้คงครอบคลุมบ้างแล้ว
ลองพิจารณารูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองดูก่อน ว่าเป็นอย่างไร และมีอาการตามที่ว่ามาหรือไม่ แล้วเรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องการแก้ไข
การแก้ไขง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ ผมให้Tip ง่ายๆ เลยนะคะ หนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สันทนาการออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง
เป็นไงล่ะคะ ทำยากใช่มั้ยคะ ถึงบอกไงว่าคนยุคปัจจุบัน นี้ไตเสื่อมกันเยอะ และจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆในไม่เกิน 10 ปีนี้
หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วย แต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้น จากการกินยา แล้วก็
จะวกมาให้หมอรักษาไตอีก (- _- " )
เพราะฉะนั้น เราจึงควรพิจารณาตัวเอง และตัดสินใจเองครับว่าจะบริหารจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน และยังมีรายได้ และไม่เสียสุขภาพ
นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับคุณอีก ดังนี้ค่ะ
1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย: แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดี แต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น
อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ (ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือซีดีเด็ดขาดนะคะ จะเสียมากกว่าได้
การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยความงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในต่างๆ ของร่างกายและช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆ
ให้เข้าที่ได้ดีมาก แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และม ีสมาธิ นอกจากนี้หากมีโอกสอยากให้ฝึกชี่กงควบคุ๋ไปด้วยจะเห็นผลดี และเร็วยิ่งขึ้น
หากรู้สึกว่ายากหรือห่างตัวเกินไปสำหรับคุณ ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร
(รู้สึกเหนื่อยเมื่อไรให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ) ว่ายเบาๆ อย่าจ้ำพรืด..จ้ำพรืด..(คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง)
2. ปรับอาหาร: งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก อย่างวัว หมู ไก่ เป็ด แกะ ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของมัน ของทอด
ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสดที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด) มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ
ข้าวโพด
ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว บรรจุขวด เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอมฯ จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก)
อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือ ความรู้สึกก็ดี ล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับอวัยวะไต
ไตนั้นเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นเหมือนผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าว
วิธีการดูแลรักษาไม่ยากเลยสำหรับคนในยุคสมัยก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคสมัยนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ"
คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารที่สดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก
ฯลฯ
ในขณะที่คนยุคปัจจุบัน นอนดึกเป็นกิจวัตร (ทำงาน,ดูบอล,ดูโทรทัศน์,เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ
อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับ ไตหยาง
อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
- นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
-นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
-อสุจิเคลื่อนตอนนอน
- เป็นเหน็บชาบ่อย
ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
1.ทานอาหารรสเค็มจัด หรือเนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย
2. ระบบการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
3.การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน
ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
-เฉื่อยชา เกียจคร้าน
-ความต้องการทางเพศต่ำลง
-ปวดเมื่อหลัง เอว
-ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น
-อารมณ์อ่อนไหวง่าย
-ขี้หูมาก
-เหงื่อออกเยอะผิดปกติ
ตามปกติแล้ว ในเวลากลางคืน ไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่าเวลากลางวัน
(สังเกตว่าเวลาตื่นเช้า เราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก)
ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิดเช่น ขี้เกียจ
อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น)
ฉะนั้น ถ้าใครที่ใกล้ตัวหรือ พนักงานของใครที่ขี้เกียจ ก็อย่าไปดุด่า โทษเขา แต่ควรพูดคุย สอบถามวิธีการใช้ชีวิต
แล้วแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การนอน การใช้ชีวิต จะได้บุญค่ะ
การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
- การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีม หวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
- การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
-การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง
หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต (ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน ) และ หาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง
สำหรับคนที่นอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
- การนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
-นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา
สำหรับคนที่นอน และทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น เวลากลางวัน คือ ยามสำหรับทำงาน เรียนหนังสือ
ส่วนกลางคืน คือยามสำหรับพักผ่อน นอนหลับ (หยางเคลื่อนไห ว หยินสงบนิ่ง) การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย
และจิตใจ อย่างแน่นอน แม้ในปัจจุบันนี้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี "ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่เมื่อใดที่ทุนนั้นพร่องลงไปเรื่อยๆ
เพราะการใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัยหยินเช่นนี้อยู่
อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
1. ข้าวกล้อง
2.สาหร่ายทะเล
3.ถั่วแดง ผักสด ผลไม้รสไม่หวานและ น้ำน้อย
4.เต้าเจี้ยว
หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิตดังนี้
1. การสวมใส่รองเท้าส้นสูง
2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์)
ลองสำรวจตัวเองดูนะคะ...ว่าขอบตาตัวเองดำหรือยังแต่ไม่ใช่เพราะ.......
......ทาอายแชโดว์นะคะ...อิอิ
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลโอเคเนชั่นดอทเนต