Advertisement
บทหนัง
วันเฉลิมพระเกียรติ 1
***ชายชรายืนนับเงินอยู่หน้าเคาท์เตอร์ธนาคาร เงินที่เขาเก็บหอมรอมริบมาเกือบทั้งชีวิต
“ครบไหมค่ะ คุณลุง” ชายชราคนนั้นพยักหน้าแล้วเดินออกไป
“ลุงแกเบิกเงินไปทำไมเยอะขนาดนั้น”
“เห็นแกบอกว่าแกจะเข้ากรุงเทพ ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไร แกเลยเบิกไปเผื่อ”
“สงสัยจะไปหาลูกหาหลานแน่เลยเนอะ” “คงงั้นมั้ง”….
ตัด
***ในขณะที่แม่กำลังเช็ดตัว ลูกชายและลูกสาวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จอยู่นั้น
พ่อก็ตะโกนมาจากอีกห้องหนึ่งว่า “แม่ เห็นเสื้อสีเหลืองของพ่อไหม”
“ก็อยู่ในตู้นั่นแหล่ะ หาดีๆ” “ก็มันไม่เจอนี่” “งั้นพ่อมาแต่งตัวให้ลูกมา...... หาอะไรไม่เคยเจอ”
พ่อเดินเข้ามา ลูกทั้งสองเห็นพ่อ ทั้งคู่วิ่งเล่นเข้าหากัน พ่อทำท่าสัตว์ประหลาดแกล้งลูกๆ
“อย่ามัวแต่เล่นนะ รีบแต่งตัว” แม่พูดพลางหันหลังเดินออกไป พ่อทำท่าล้อเลียนแม่ ลูกทั้งสองชอบใจ “พ่อทำไมเราต้องใส่เสื้อเหลืองกันด้วยล่ะ” “วันนี้คนไทยทุกคนเขาใส่กันเพื่อแสดงความรักในหลวง ลูกรักในหลวงไหม” "รักครับ"
ตัด
***ในบ้านที่แบ่งเป็นห้องหลายห้อง แสงไฟเพียงน้อยนิด แต่มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่งกันเรียงราย มะลิอายุประมาณ 25 ปี แต่งหน้าจัด เดินเข้ามาในห้องที่มีหญิงร่างท้วม ที่นั่งอยู่บนโต๊ะดูทีวีอยู่ “มาม่า พรุ่งนี้หนูขอลาหยุดนะ” “แกจะไปไหน” “หนูบอกมาม่าไปแล้วนี่” “แกจะไปทำไม คนอย่างเราไม่สมควรไปหรอก ดูถ่ายทอดทางทีวีก็ได้” “แต่หนู.....” มีเสียงชายเข้ามาแทรก “มะลิ มารับแขก” มะลิจำใจต้องเดินออกไป.......
ตัด
***ชายหนุ่มใส่สูทภูมิฐานยืนอยู่ในล๊อบบี้โรงแรงหรูแห่งหนึ่ง กำลังคุยโทรศัพท์ “ครับ ผมจะเทคแคร์อย่างดี......รู้ครับ ว่าเป็นความหวังของบริษัทครับ เชื่อใจผมได้ครับ” ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์ลง วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับเขา เขาอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งก็อยู่ที่วันนี้แหล่ะ ฝรั่งแต่งตัวภูมิฐานไม่แพ้ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม “หวัดดีครับ คุณจอนห์สัน ผมณรงค์เกียรติ วันนี้ผมจะมาดูแลคุณทั้งวันครับ เราไปกันเลยไหมครับ”.......
ตัด
***ในบ้านชายชราที่ดูจะแก่กว่าตัวเจ้าของบ้าน ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงเพียงรูปเดียวซึ่งเป็นรูปเก่าๆมากแล้ว ประดับไว้ตรงหัวนอน ชายชรากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เขาพับผ้าเล่านั้นอย่างดี เขาเดินไปเปิดลิ้นชัก มีรูปขาวดำของหญิงสาวคนหนึ่งชายชราเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อยืดสีเหลืองตัวใหม่เอี่ยม ชายชรามองรูปอีกครั้งเราพึมพำคนเดียวว่า “เราไปด้วยกันนะยาย”
ตัด
***พ่อเอาของใส่ในรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยิบกล้องวีดีโอมาถ่ายแม่และลูกๆทั้งสอง ลูกๆทั้งสองเล่นกล้องอย่างสนุก แม่ก็ยังบ่นอยู่ไม่เลิก พ่อเอากล้องมาถ่ายตัวเอง “ขนาดนี้เวลา 8.30 น. เรากำลังเดินทางไปร่วมงานที่สำคัญครั้งหนึ่งของคนไทย” “พ่อหยุดเล่นแล้วขึ้นรถไปกันซะที เดี๋ยวจะไปไม่ทันนะ...”
“แม่ชอบเบรกเรื่อยเลย...” พ่อหยุดถ่ายจัดแจงให้ทุกคนเตรียมตัวขึ้นรถ มีเสียงใสๆจากเพื่อนบ้าน ดังขึ้นมาว่า “ไปเที่ยวกันเหรอ” “เปล่า จะไปกรุงเทพ” “อ้าว ไปทำไรกันล่ะ” “จะไปร่วมพิธีวันนี้ซะหน่อย” “โหลงทุนนะนั่น ไกลขนาดนั้น” “ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์น่ะ ถ้าไม่ได้ไปคงเสียใจแย่”
ตัด
***มะลิแต่งตัวด้วยเสื้อเชิรต์สีเหลือง วันนี้มะลิไม่ได้แต่งหน้าจัดเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว มะลิเดินลงบันไดมา เจอมาม่าซัง นั่งอยู่ “แกจะไปไหน” “หนูบอกแล้วว่าวันนี้หนูจะลา” “ก็จะไปทำไม คนอย่างเราไม่เหมาะกับงานแบบนี้หรอก” “แต่หนูก็คนไทยคนนึงนะ” “แล้วไง อาชีพอย่างแกไปร่วมพิธีให้งานให้เสียเกียรติเปล่าๆนะซิ ไม่ต้องไปหรอก” มะลิได้แต่ยืนเงียบ แล้วค่อยๆเดินขึ้นกลับไปที่ห้องตามเดิม.......
ตัด
***ชายหนุ่มขับรถไปตามถนน มิสเตอร์จอหน์สัน มองออกไปข้างนอก ที่ผู้คนเดินกันควักไขว่
“ทำไมวันนี้คนไทยใส่เสื้อเหลืองกันทุกคน”(ภาษาอังกฤษ)
“วันนี้เป็นวันเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ของเราครับ”(ภาษาอังกฤษ)
“แล้วทำไมคุณไม่ใส่”(ภาษาอังกฤษ) “คือว่า...”(ภาษาอังกฤษ) “ผมอยากใส่บ้าง”(ภาษาอังกฤษ)
ตัด
***ชายชรามาถึงหมอชิตแล้ว ขนาดยืนเก้ๆกังๆ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ ก็มีหนุ่มใจดีเดินเข้ามาหา มาถามว่าจะไปไหน ชายชราคิดว่าคนไทยทีใจดียังมีอยู่ พอชายชราบอกว่าจะไปไหนชายหนุ่มคนนั้นรีบพาชายชราขึ้นบนรถเขา อีกไม่กี่นาทีต่อมา ชายชราถูกไล่ให้ลงจากรถ ชายหนุ่มคนนั้นเอาไปหมดเหลือไว้เพียงรูปขาวดำหญิงสาวที่ชายชราพกไว้ในกระเป๋าเท่านั้น ชายชรามองดูรถแล่นจากไป......
ตัด
***ในรถยังวุ่นวาย ลูกๆไม่ยอมนอนตลอดทาง คงเพราะตื่นเต้นที่ได้มากรุงเทพครั้งแรก ขณะที่รถติดพ่อจึงหยิบกล้องมาถ่ายแม่ แม่นึกสนุกเล่นกลับกล้องบ้าง เสียงน้อยๆของลูกดังออกมา “พ่อเราจะได้เห็นพลุไมค่ะ” “เห็นซิ” “พลุใหญ่ๆเลยนะครับ” ใช่แล้ว” ใหญ่กว่าดวงจันทร์ด้วย” “จ้า” “พ่อนี่ก็ถ่ายจัง” “ถ่ายซิ มันเป็นประวัติศาสตร์ ให้เป็นเกียรติสำหรับตระกูลเรา พอลูกๆเปิดดูจะได้คุยกับเพื่อนได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์” “ประวัติศาสตร์อะไรค่ะพ่อ” “ก็ประวัติศาสตร์ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลกซิ ลูกๆต้องจดจำวันนี้ให้แม่นนะ” รถขยับได้ตั้งนานแล้ว แต่พ่อยังไม่ได้ขยับมีเสียงแตรไล่ “จะรีบไปไหนกันนะ” พ่อบ่นพลางเขยื้อนรถออกไป
ตัด
***ชายหนุ่มบีบแตรไล่รถที่อยู่ข้างหน้า ทั้งๆที่รถแล่นแล้วไม่ยอมออกสักที มิสเตอร์จอหน์สัน เปลี่ยนมาใส่เสื้อสีเหลืองแล้ว ชายหนุ่มขับรถไปด้วยอารมณ์ไม่ดี “ไปไม่ทันกันพอดี” “วันนี้เขามีงานอะไรกันเหรอ”(ภาษาอังกฤษ) “อ๋อพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์เรานะครับ”(ภาษาอังกฤษ) “เขาจัดกันที่ไหน”(ภาษาอังกฤษ) “ข้างหน้านี่แหล่ะครับ”(ภาษาอังกฤษ) “ผมอยากร่วมงาน”(ภาษาอังกฤษ) “แต่โปรแกรมที่ผมจัดให้เราต้องไป....”(ภาษาอังกฤษ) “คุณก็แคนเซิล มันซิ คุณเป็นคนไทยทำไมคุณไม่อยากร่วมพิธีนี้”(ภาษาอังกฤษ) ชายหนุ่มได้แต่นั่งเงียบ “ผมจะไปร่วมงานนี้แทน แล้วคุณ ก็ไปหาเสื้อเหลืองใส่ด้วย”(ภาษาอังกฤษ)
ตัด
***มะลินอนอยู่บนเตียง มะลินึกถึงคำพูดของมาม่าซัง ที่ว่า อาชีพอย่างเราไม่ควรไปมันไม่เหมาะกับงานแบบนี้ น้ำตามะลิคลอเป้า เธอไม่มีสิทธิ์ไปร่วมงานนี้จริงๆ เหรอ ขนาดคิดอยู่นั้น มีเสียงมาม่าซังดังโหวกเหวกข้างล่าง มะลิเดินออกจากห้องลงไปข้างล่าง “มีอะไรเหรอมาม่า” “ก็มีไอ้แก่คนนึงนะซิ มันบอกว่ามันมาร่วมพิธีงานที่มึงจะไปนี่ มันมาจากต่างจังหวัด มันบอกว่ามันมาถึงก็โดนปล้นเอาเงินไปหมดเลย มันเลยมาขอเงินแล้วจะให้พามันไปร่วมงาน” “แล้วเขาไม่ไปแจ้งตำรวจก่อนเหรอ” “ก็แกบอกว่า ถ้าไปแจ้งตำรวจตอนนี้แกอาจจะไปงานไม่ทัน แกตั้งใจจะมางานนี้อุตส่าห์เบิกเงินมาหมด คนอย่างงี้ก็มีด้วย คงเป็นพวกขี้เหล้าจะเอาเงินไปกินเหล้าหมดนั่นแหล่ะ” “ตอนนี้แกเดินไปไหนแล้วล่ะ” “ไล่ไปโน่นแล้ว คงจะไปเดินขอคนอื่นนั่นแหล่ะ” มะลิวิ่งขึ้นไปบนห้องไปเอากระเป๋า แล้วลงมาเดินชนมาม่าซัง” “นั่นแกจะไปไหน” “วันนี้หนูลา...ถ้าไงมาม่าซังหักเงินหนูก็ได้” มะลิพูดพลางวิ่งออกไปทางที่ชายแก่คนนั้นเดินไป........มะลิวิ่งทันชายชราคนนั้น ทั้งคู่หยุดกันแป๊ปนึง แล้วเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกัน
ตัด
***พลุเฉลิมฉลองสว่างไสวทั่วฟ้า พ่อยังไม่เลิกถ่าย ลูกๆตื่นเต้นกับพลุในค่ำคืนนี้ “มันยิ่งใหญ่ๆจริงๆนะแม่” ชายชรานั่งพักข้างทาง มะลิเดินมาหาพร้อมถือน้ำในมือยื่นให้ชายชรา ทั้งคู่ยิ้มให้กัน มิสเตอร์จอหน์สัน ดูมีความสุขกับงานวันนี้มาก ชายหนุ่มเหม่อมองพลุสายตาว่างเปล่า “คุณโชคดีนะที่เกิดมาเป็นคนไทย”(ภาษาอังกฤษ)
ตัด
วันเฉลิมพระเกียรติ 2
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
แต่วันเฉลิมก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมารับสักที แม้มันจะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ แต่เขาก็ตื่นแล้ว ไม่ซิ พูดให้ถูกคือเขายังไม่ได้นอนทั้งคืนต่างหาก เพราะเรื่องเมื่อวานเป็นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
เสียงโทรศัพท์เงียบหายไปแล้ว เขายังนอนดูบนเพดานค้างอยู่อย่างนั้น......
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเอื้อมตัวไปรับโทรศัพท์
“พ่อ มีอะไร” มีเพียงพ่อของเขาเท่านั้นที่จะโทรเข้ามาในห้องเขาแทนที่จะโทรเข้ามือถือ
“วันจันทร์ผมต้องทำงาน ผมไปไม่ได้หรอก”
“พ่อเข้าใจผมหน่อยซิ.....มันไม่ใช่ใกล้ๆนะ...อีกอย่างพ่อก็รอดูถ่ายทอดทางทีวีก็ได้นี่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่อ พ่อมาค้างที่คอนโดผมไม่ได้หรอก ห้องผมมันเล็ก”
“พ่อดูถ่ายทอดทางทีวีละกันนะ ผมจะไปทำธุระแล้ว อย่างไงผมจะโทรหาพ่ออีกทีละกัน แค่นี้นะ”
เขาวางโทรศัพท์ โดยที่ไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขาดูหน้าจอ ขึ้นชื่อ
คุณสุรเกียรติ เขาปล่อยให้มันดังอย่างนั้น แต่สุดท้ายเขาก็รับมัน “ครับ หัวหน้า.....”
ตัด
มือของพ่อวันเฉลิม เอื้อมไปเบาเพลงวิทยุในรถ
“ไม่เห็นแก ต้องเปิดดังขนาดนั้นเลย”
เขาไม่ตอบอะไรสายตามองเหม่อไปข้างหน้า แม้เขาจะไม่พอใจแต่เขาก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพ่อ
“แกมารับซะป่านนี้ จะไปทันไหม” “ทันอยู่แล้วพ่อ ขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
“แกอย่าซิ่งให้มันมากนัก จำไว้เวลาขับรถแกต้องนับ 1 ใหม่เสมอ”
เขาไม่สนใจขับรถต่อไปเรื่อยๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ เป็นชื่อคุณสุรเกียรติอีกแล้ว เขาปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น แล้ววางลงข้างๆตัว
“นี่แกจะไม่รับโทรศัพท์เหรอ” เขาไม่ตอบ เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่
“การหนีปัญหามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ” เขามองหน้าพ่อของเขา เสียงโทรศัพท์เงียบลง
ตัด
คุณสุรเกียรติเดินเข้ามาหาเขา พลางเอามือมาวางบนบ่า
“อย่าคิดมาก ใครๆเขาก็ทำกัน”
“แต่มันเป็นการโกงบริษัทนะครับ”
“ที่ไหนๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น ถ้าไม่ทำจะอยู่ได้ไง เงินเดือนก็แค่นี้เอง”
“เอาน่า รู้ใช่ไหม เดือนหน้าจะมีการพิจารณาตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายน่ะ ผมคิดว่าคุณเหมาะสมดีนะ”
“ตำแหน่งนี้ พี่บอยเขาจะได้นี่ครับ”
“ไม่เป็นไร ผมพิจารณาใหม่แล้ว”
“คุณก็แค่ทำเฉยๆ แค่นั้นเอง หรือจะเอาส่วนแบ่งด้วย”
“เอางี้ละกัน คุณตัดสินใจได้เมื่อไรบอกผม....แต่อย่าตัดสินใจนานนัก ผมไม่ชอบ”
“คุณคงรู้นะ ผมยื่นโอกาสดีๆอย่างนี้กับคุณ เพราะผมชอบคุณ ทั้งๆที่ผมมีทางที่ง่ายกว่านี้เยอะ หวังว่าคุณคงไม่ทำให้ผมผิดหวัง”
ตัด
“ตอนพ่อทำงาน พ่อไม่อยากได้ตำแหน่งสูงๆบ้างเหรอ” วันเฉลิมเปิดการสนทนาหลังจากทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน
“ทำไมพ่อจะไม่อยาก แต่เรามันไม่มีเส้นสาย พวกพ้องก็ไม่มี มันก็ได้เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่นั่นแหล่ะ”
“แล้วทำไมยังทนทำมันจนพ่อเกษียณล่ะ” “ใครว่าพ่อทน”
“ทำไปโดยไม่มีความก้าวหน้าอย่างนี้ไม่เรียกว่าทนเหรอ” “ข้าราชการระดับขั้นมันก็เพิ่มขึ้นทุกปีอยู่แล้ว”
“แล้วไง ระดับขั้นเพิ่มก็แค่เงินเดือนเพิ่ม แต่ตำแหน่งพ่อก็เท่าเดิม”
“อาชีพข้าราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติ บางทีตำแหน่งมันก็ไม่สำคัญหรอก”
“สำคัญซิ ดูอย่างพ่อตอนนี้ซิ พ่อก็เป็นแค่อดีตข้าราชการระดับ 7 แก่ๆคนนึงเท่านั้นเอง”
“แต่พ่อก็ส่งแกจนเรียนจบได้ละกัน” “มันไม่เกี่ยวนี่พ่อ” “แกช่วยแวะปั้มข้างหน้าให้พ่อหน่อยได้ไหม”
วันเฉลิมอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็ไม่พูด พร้อมทั้งเลี้ยวปั้มตามที่พ่อต้องการ
“สักวันแกก็จะรู้เอง” พ่อของเขาพูดน้ำเสียงที่เขาแทบไม่ได้ยิน
ตัด
วันเฉลิมยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องน้ำของปั้ม ด้วยท่าทีสับสน
“เรื่องนั้นผมกำลังคิดอยู่ครับ ผมอยากได้เวลาอีกสักนิดนะครับ แล้วผมจะโทรไปนะครับ”
เขาวางหูโทรศัพท์พร้อมทั้งเดินไปล้างหน้า เขามองตัวเองผ่านกระจก เหมือนกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาจะเป็นคนแบบไหน เขาควรคว้าโอกาสนี้หรือว่าควรปล่อยมันไป เขาตื่นจากภวังค์ เดินเข้าไปเรียกพาพ่อในห้องน้ำ
“พ่อ เดี๋ยวเราจะไปไม่ทันนะ รีบหน่อย”
ไม่มีเสียงตอบจากพ่อของเขา เขาเรียกเสียงดังขึ้นพลางทุบประตู เมื่อเขาเห็นว่าผิดปกติ เขาพังประตูห้องน้ำเข้าไป ภาพที่เขาเห็น พ่อนอนสลบพร้อมมีร่องลอยของเลือดที่พ่อไอ ออกมาเต็มพื้นห้องน้ำ เวลานี้เขาได้แต่ยืนตัวแข็งมองพ่อของเขา
ตัด
“ครับ ผมจะรีบพาไปโรงพยาบาลด่วนเลยครับ ตอนนี้อยู่แถวสิงห์บุรีแล้ว”
“เดี๋ยวผมจะแวะเข้าเมืองพาพ่อไปโรงพยาบาลแถวนี้แหล่ะครับ” วันเฉลิมมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆบนรถเขา
“นั่นแกจะทำอะไรน่ะ” “ผมก็จะพาพ่อไปโรงบาลนะซิ” “ไม่ต้อง แกลืมแล้วไงว่าต้องพาฉันไปไหน”
“แต่พ่อ....” “ไม่มีแต่ พ่อให้แกมารับไปงานเฉลิมพระเกียรติ ไม่ใช่ให้แกพาไปโรงบาล”
“อย่างนี้พ่อจะยังไปอีกเหรอ มันสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ พ่อดูถ่ายทอดโทรทัศน์ที่โรงบาลก็ได้”
“ถ้ามันลำบากนักก็ปล่อยให้พ่อลงตรงนี้ พ่อไปเองก็ได้”
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก
“ทำไมพ่อไม่บอกผม” “แกไม่ต้องห่วง แกขับต่อไปทำหน้าที่ของแกก็พอ”
ตัด
รถพาทั้งคู่เข้ามาในกรุงเทพแล้ว พ่อของเขากำลังนอนหลับอยู่ ในขณะที่เขายังเต็มไปด้วยคำถามมากมายในใจ
“พ่อก็เคยน้อยใจนะ ว่าเราทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่ทำไมเราถึงไม่ก้าวหน้า ตอนนั้นพ่อท้อมากๆ...” พ่อเขาตื่นแล้ว สายตาเหม่อมองไปนอกรถ ชายหนุ่มได้แต่รับฟัง
“พ่อคิดว่า ถ้าเราเกิดมาในตระกูลที่ดีกว่านี้ มีพวกพ้อง มีเส้นสาย มันคงจะทำให้อะไรๆง่ายขึ้น...........”
“ในเมื่อทำงานหนัก แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่า พ่อจึงคิดที่จะเป็นเหมือนข้าราชการส่วนใหญ่ ที่เข้างานสาย กลับบ้านเร็ว ทำไปวันๆ แล้วเอาเวลางานไปทำธุรระส่วนตัว....”
“จนมาวันนึงพ่อมาได้ฟังพระราชดำรัสของในหลวง พ่อจำไม่ได้หมดหรอกว่าท่านกล่าวอะไรบ้าง แต่ที่พ่อจำแม่นก็คือ ท่านกล่าวว่าในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัล หรือผลประโยชน์ให้มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ”
“ตั้งแต่นั้นมา พ่อจะภูมิใจกลับงานของพ่อ อย่างน้อยแม้จะไม่มีใครเห็น แต่พ่อคิดว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นมันสมบูรณ์แล้ว”
“วันนี้เป็นวันครองราชย์ครบ 60 พรรษา ของในหลวง ที่พ่อต้องมาในวันนี้ให้ได้ เพราะพ่ออยากขอบคุณท่านเหลือเกิน แม้พ่อจะไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวง เป็นเพียงประชาชนคนไทย 1 ใน 60 ล้านคน แต่วันนี้จะเป็นอีกหนึ่งวันที่พ่อยืนอยู่บนแผ่นดินไทยผืนนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ”
“คนใกล้ตายจะเพ้ออย่างนี้ทุกคนแบบพ่อไหมหนอ” พ่อยิ้มออกมา แต่วันเฉลิมหน้าเศร้า เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่เขาได้คุยกับพ่ออย่างที่เขาเคยทำในสมัยเด็ก
ตัด
รถของทั้งคู่ไม่ได้ขยับมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งๆที่สถานที่ที่จะไปอยู่เพียงแค่อึดใจเดียว พ่อของวันเฉลิมยังมองออกไปที่นอกรถ เห็นธงเหลือง โบกไสว แล้วพ่อของเขาก็หันมาพูดกับเขา
“ชีวิต แกตอนนี้เป็นไงบ้าง” เขาอยากบอกพ่อเหลือเกินว่าเขากำลังมีปัญหา เขาต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เขาอยากให้ใครสักคนมาช่วยตัดสินใจแทนเขา หรือไม่ก็คอยบอกเขาว่าสิ่งที่เขาเลือกมันถูกแล้ว แต่เขาได้แต่เพียงมองหน้าพ่อ แล้วยิ้ม
“แกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะแล้ว ไม่ว่าแกจะเจออะไร พ่อคิดว่าแกสามารถตัดสินใจมันได้เอง”
“พ่อภูมิใจในตัวแกนะ” ประโยคสุดท้ายช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน แต่เขาก็ยังได้ยิน ตอนนี้พ่อหลับตาลงแล้ว อาจจะเป็นการพักผ่อนที่ยาวนาน สำหรับเขาคิดว่าพ่อสมควรได้พักแล้ว พ่อทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งหน้าที่พ่อ และหน้าที่ของคนไทยคนหนึ่ง แล้วเขาล่ะ ชายหนุ่มมองออกไปข้างนอก เขากำลังมุ่งหน้าไปงานพิธี ที่เมื่อวันก่อนเขาคิดเพียงแค่ว่าดูถ่ายทอดทางทีวีก็พอ แต่สำหรับตอนนี้การไปถึงพิธีมันมีความหมายทั้งสำหรับพ่อเขาและตัวเขาเอง เขามองพ่ออีกครั้ง ก่อนตัดสินใจ หยิบมือถือขึ้นมา โทรหาคุณสุรเกียรติ
“คุณสุรเกียติ ผมตัดสินใจได้แล้ว.....”
วันที่ 1 มี.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,292 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,160 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,147 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 29,608 ครั้ง |
เปิดอ่าน 11,527 ครั้ง |
เปิดอ่าน 37,658 ครั้ง |
เปิดอ่าน 11,069 ครั้ง |
เปิดอ่าน 2,945 ครั้ง |
|
|