นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ "1 ทศวรรษ สพฐ." โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายไพฑูรย์ จัยสิน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคนแรก นางพรนิภา ลิมปพยอม อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งผู้บริหารจากเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เข้าร่วมงานกว่า 300 คน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556
รมว.ศธ.กล่าวเปิดงานในครั้งนี้ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นหน่วยงานหลักของ ศธ.ในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กและเยาวชนวัยเรียน ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ทั้งด้านความเสมอภาค สิทธิและโอกาสในการเข้ารับการศึกษา ด้านคุณภาพและประสิทธิภาพที่ครอบคลุมเด็กทุกกลุ่มเป้าหมายทุกประเภท ไม่ว่าเป็นเด็กในพื้นที่ปกติ พื้นที่ในท้องถิ่นทุรกันดาร หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา รวมไปถึงการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันในประชาคมโลก
จากจุดเริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน ผลงานที่ปรากฏต่อสาธารณชน ย่อมแสดงให้เห็นบทบาทสำคัญยิ่งของภารกิจในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของประชากรไทยเพื่อความมั่นคงยั่งยืนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติในอนาคต ซึ่งการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องมองไปข้างหน้า ต้องคำนึงถึงการเป็นแนวทางสำคัญที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกอย่างเต็มภาคภูมิ ดังนี้
• การให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชน นำพาประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยความมั่นใจ และให้ประเทศไทยเป็นแนวหน้าในประชาคมอาเซียน
• การส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและการใช้เครื่องมือสื่อสารได้อย่างเข้มแข็งทั้งในด้านการศึกษาและการติดต่อธุรกิจ
• การปฏิรูปหลักสูตรให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับบริบทของสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการก้าวหน้าของโลกยุคปัจจุบัน
• การพัฒนาครูด้วยการเปลี่ยนการเรียนการสอนให้เท่าทันกับโลกเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้เจริญรุดหน้าไปมาก เด็กและเยาวชนสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทำอย่างไรครูจะได้รับการพัฒนาศักยภาพและปรับเปลี่ยนตามที่ได้รับการพัฒนาทุกด้านอย่างแท้จริง
ภาพการดำเนินงานของ สพฐ.จึงสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับนโยบายและผู้ปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อเป้าหมายของเยาวชนไทยทุกคน และการจัดงาน 1 ทศวรรษของ สพฐ.ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการทำงานที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มีโครงการสำคัญๆ เกิดขึ้นตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและ ศธ. หวังว่าผู้บริหารทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของ สพฐ.จะนำประสบการณ์ที่ผ่านมาในรอบ 10 ปี ใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายและทิศทางการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อพัฒนาประชากรวัยเรียนให้มีความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนและสังคมโลกต่อไป
จากนั้น รมว.ศธ.ได้ปาฐกถาถึงแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่ง "ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี" ขอเผยแพร่ปาฐกถาดังกล่าวของ รมว.ศธ.โดยละเอียด
"ผมเคยขึ้นมาบนเวทีลักษณะนี้ของ สพฐ.หรือของ ศธ.ในการกล่าวเปิดงาน แล้วก็ต้องกล่าวปาฐกถาหรือกล่าวแสดงความเห็น แต่ในช่วงหลายปีมานี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำหน้าที่แบบนี้ จะมีได้รับเชิญให้ไปพูดเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการศึกษาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
ในวันนี้ความจริงบางท่านก็บอกว่าให้มาพูดเรื่องนโยบายให้ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาฟัง แต่บังเอิญว่าผมยังไม่ได้มอบนโยบายที่กระทรวง ความจริงนโยบายของรัฐบาลด้านการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ผมมีโอกาสร่วมช่วยเสนอความเห็น ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ยังไม่ได้กำหนดนโยบายของกระทรวง ซึ่งความจริงก็คือ มีกระบวนการรับฟัง รายงานว่าองค์กรหลัก องค์กรไหนทำอะไรไปถึงไหนบ้างแล้ว ก็อยู่ระหว่างสังเคราะห์ให้มาเป็นนโยบาย ซึ่งก็คงไม่ใช่มีรัฐมนตรีคนหนึ่งมากำหนดนโยบายใหม่ๆ นโยบายที่เป็นส่วนตัว แต่จะเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่รัฐมนตรีท่านก่อนทำไว้
ในวันนี้จึงขอใช้เวลาสั้นๆ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะว่าท่านจะเสวนาเรื่องวิชาการ ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ผมมาเป็นผู้พูดคนหนึ่งที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อเป็นประโยชน์แก่วงสัมมนา
เรามีโจทย์สำคัญเรื่องการศึกษา อยู่ที่จะผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศได้อย่างไร การศึกษาของเราต้องสร้างคนสร้างบุคลากรแบบไหน เราพยายามจัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการศึกษากันหลายๆ อย่างตลอดมา แต่ในแง่ของผลสัมฤทธิ์ แน่นอนว่ายังถูกมองว่าเมื่อเทียบกับพัฒนาการของสังคมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ยังจะต้องมีการพัฒนาให้ผลสัมฤทธิ์ดีกว่าที่เป็นอยู่
เพราะฉะนั้นโจทย์สำคัญหนึ่งก็คือ คงจะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนโฉมการจัดการการศึกษา เพื่อให้รับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราคงต้องสร้างและเตรียมความพร้อมของบุคลากรของเราตั้งแต่เด็กเยาวชน ให้มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ มีทักษะทางภาษา คิดเป็นเพื่อทำงานและปรับตัวในโลกใหม่ที่มีการปฏิวัติด้าน Digital ที่ส่งผลให้โลกทั้งโลกเชื่อมโยงและสื่อสารกันในเวลาแค่คลิกนิ้วเดียว และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา เราต้องสร้างและพัฒนาให้คนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถขับเคลื่อนและยกระดับประเทศ เตรียมความพร้อมคนของเราให้อยู่ในโลกของการแข่งขันและโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ต้องเตรียมคนให้มีความพร้อมและตระหนักว่าการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนและกำลังจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ทำให้เราได้ประโยชน์จากการก้าวขึ้นมาของเอเชียในประชาคมเศรษฐกิจโลกอย่างไรบ้าง การศึกษาไทยกำลังจะเดินหน้าสู่การพัฒนาคน ตลอดจนเตรียมความพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก
เราต้องยกเครื่องเรื่องการศึกษา คงไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่ดี ยังใช้ไม่ได้ แต่ว่าเป็นเรื่องที่เรามองเปรียบเทียบไปข้างหน้า เปรียบเทียบไปที่สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและปัญหาที่ท้าทายข้างหน้า เมื่อก่อนขึ้นมาบนเวทียังคุยกับ กพฐ.ว่า งานนี้ชื่อว่า 1 ทศวรรษ สพฐ. อีกระยะหนึ่งเราคงต้องมาคุยกันแล้วว่าต้องจัดงานสู่ทศวรรษที่ 2 ของ สพฐ. การยกเครื่องในความหมายนี้ ไม่ใช่ยกเครื่องเนื่องจากเห็นว่าเก่าหรือทำอะไรไม่ได้ แต่ยกเครื่องในความหมายว่า เรากำลังเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังท้าทาย ต้องการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า ศธ.มีเรื่องเยอะมาก ไม่ว่าใครจะขึ้นมาบริหารจะทำทุกเรื่องไปพร้อมกัน และบอกว่าให้ทำทุกเรื่องให้ดีที่สุด ก็คงทำไม่ได้และคงทำไม่ไหวหากจะคิดทำทุกเรื่อง จึงต้องคิดเรื่องที่มีความสำคัญและจะส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นๆ และพยายามช่วยกันผลักดันขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ เพื่อให้ไปกระทบต่อเรื่องอื่นในทิศทางเดียวกัน ดังนี้
● การปฏิรูปหลักสูตร การปฏิรูปการเรียนรู้ หรือปฏิรูปการเรียนการสอน การปฏิรูปหลักสูตรมีการเริ่มดำเนินการระยะหนึ่งแล้ว และก็เป็นเรื่องที่มีวาระมีโอกาสอยู่ นี่ก็เป็นเวลา 10 ปีมาแล้วที่ใช้หลักสูตรนี้กัน ขณะนี้มีกระบวนการที่ใช้ปฏิรูปหลักสูตรเกิดขึ้นแล้ว และอีก 1 ปีก็คงเริ่มต้นได้ แต่ดูแล้วกระบวนการก็ต้องใช้เวลากว่าจะเข้าถึง ก็ต้องใช้เวลาคาดว่าจะอีกประมาณ 3 ปี การปฏิรูปการเรียนการเรียนสอนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนที่ต้องทำ โดยเฉพาะจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ มีผลสัมฤทธิ์ในภาวะที่ความก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ องค์ความรู้แนวคิด เทคนิคและเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างมากมาย การเรียนการสอนในโลกยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการพูดกันในระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนา ต้องสร้างองค์ความรู้ ทำอย่างไรให้เกิดความจริงจังและต่อเนื่องในเรื่องนี้
มาตรฐานเนื้อหาความรู้ ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการปฏิรูปการเรียนการสอน ที่จะต้องมาคิดกันว่ามีการวัดมาตรฐานความรู้ทั้งระบบ วิธีเรียนวิธีสอน ตัวชี้วัด การทดสอบ ที่จะเชื่อมโยงกับเนื้อหามาตรฐานอย่างไร ยกตัวอย่าง แท็บเล็ตที่ให้กับเด็ก มีการพูดถึงความคืบหน้าอยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีเพิ่มจำนวนเท่าไร และปีไหนจะมีได้ทั่วถึง มีการผลิตเนื้อหามากขึ้นๆ แต่เรื่องที่ใหญ่มาก ก็คือมาตรฐานของเนื้อหา ที่ต้องเป็นมาตรฐานที่จะแน่ใจว่า เมื่อใช้แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตแล้ว จะเรียนจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้เรียนรู้ได้ดีขึ้นกว่าไม่ได้ใช้ รวมทั้งได้มาตรฐานที่พอใจ ซึ่งอาจจะต้องมีการศึกษาภายในประเทศไทยและเปรียบเทียบกับของต่างประเทศด้วย
การวัดและประเมินผล การทดสอบและการประเมินผลโรงเรียน และการประเมินวิทยฐานะ เมื่อสักครู่ที่ผมบอกว่าชอบใช้คำว่า การเรียนการสอน ก็เพราะว่าคำว่า การสอน เข้าไปเกี่ยวกับครูและการพัฒนาครู การทดสอบเด็ก การประเมินผลโรงเรียน การประเมินวิทยฐานะครูควรจะต้องเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แล้วก็ต้องเชื่อมโยงกันเอง กล่าวคือ หลักสูตร การเรียนการสอน การพัฒนาครู การทดสอบเด็กและการประเมินผลโรงเรียนต้องเชื่อมโยงกันและกัน และเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์
ถ้าพูดในแง่องค์กร สพฐ. มีอายุ 10 ปี สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) กับสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ก็มีอายุไล่เลี่ยกัน ผมเคยเป็นประธานกำกับ สมศ. พอทราบความเป็นมาและบทบาทว่าองค์กรที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้ ในขณะที่ประเทศเราก่อนหน้านั้นจัดการเรียนการสอนโดยไม่มีการทดสอบกลาง และไม่มีระบบประเมินมาเป็น 10 ปี พอมีองค์กรมาแล้ว สิ่งที่ช่วยกันคิดก็คือว่า ฝ่ายที่ดูแลหลักสูตร ฝ่ายที่ดูแลเรื่องการเรียนการสอน ฝ่ายที่ทำเรื่องพัฒนาครู การทดสอบเด็กและการประเมินผล เชื่อมโยงสอดคล้องกันอย่างไร ส่งเสริมกันอย่างไร ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องว่า พอมีการทดสอบเด็กทำไม่ได้ ก็ตั้งคำถามว่า ออกข้อสอบอยู่ในหลักสูตรหรือไม่ เด็กได้เรียนมาหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าฝ่ายทดสอบเห็นว่าหลักสูตรยังไม่ดีพอ ก็ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำหลักสูตรให้ดีขึ้นอย่างไร และจะจัดการเรียนการสอนอย่างไรจึงจะมีผลสัมฤทธิ์ตามที่ฝ่ายทดสอบกำลังจะทดสอบหรือฝ่ายประเมินกำลังจะประเมิน
● เรื่องที่สอง เป็นเรื่องลดความเหลื่อมล้ำและการไม่เท่าเทียมทางการศึกษา เด็กและเยาวชนไทยที่ออกจากระบบการศึกษา ถือเป็นปัญหาใหญ่ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาพื้นฐาน จำนวนร้อยละ 60 ออกจากระบบการศึกษาในช่วงมัธยมตอนปลายหรือต่ำกว่า โดยส่วนใหญ่ออกจากการศึกษาในช่วงมัธยมตอนปลายและออกในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า พิจารณาจากสัดส่วนแล้วปัญหานี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ตัวเลขที่ใช้กันอยู่นี้ ตัวเลขที่ผมใช้อยู่ก็เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างล้าสมัย และคงต้องหาตัวเลขที่ทันสมัยมากขึ้น อาจจะเห็นปัญหาที่มากกว่านี้ก็ได้ เมื่อมีปัญหาออกจากการเรียนเร็วและไปประกอบอาชีพก็ไม่ได้ หรือประกอบอาชีพก็ใช้ทักษะฝีมือแรงงานไม่มากนัก เพราะว่าไม่ได้รับการฝึกฝนและไม่ได้รับการสอน มีคำถามใหญ่ว่าการเตรียมการศึกษา การเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนสำหรับการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพของเราเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งก็โยงไปที่การศึกษาของอาชีวศึกษา พูดเรื่องอาชีวศึกษาเล็กน้อยในที่นี้ ไม่ได้มาพูดผิดงาน แต่เห็นว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก
สพฐ.ต้องเตรียมเด็กไปสู่การศึกษาสายอาชีพและสายอุดมศึกษา เพื่อให้เข้าสู่สังคมมีอาชีพต่อไป เราเคยมีการตั้งเป้าว่านักเรียนสายสามัญกับสายอาชีพในระดับมัธยมปลาย ควรจะอยู่ประมาณร้อยละ 50 : 50 บางคนใช้ตัวเลขเก่า สายอาชีพจึงเป็น 70 : 30 ก็ยังมีแต่สมัยนานมากแล้ว แต่ระยะหลังใช้ 50 : 50 ปรากฏว่าช่วงหลังนี้จริงๆ อยู่ที่ 66 : 34 ยังห่างจาก 50 : 50 มากเหลือเกิน รวมที่เรียนต่อปริญญาตรี ปวส.ก็จะรวมกันเพียงประมาณร้อยละ 36 ของประชากร
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้รายงานสภาพการว่างงาน พบว่าผู้ที่ว่างงานกับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นสูงสุด รองลงมาคือผู้ที่จบมัธยมศึกษาตอนต้นและต่ำกว่า กลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช.ว่างงานต่ำสุด เป็นการบ่งชี้ว่าเรากำลังขาดแคลนเรื่องการผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานและทิศทางของการเพิ่มสัดส่วน ลดสัดส่วน เป็นไปในแนวที่สวนทางกับความต้องการ เป็นเรื่องที่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ต้องคิดถึงประเด็นนี้ ต้องร่วมกันคิด คงไม่ใช่เป็นเรื่องว่าเนื่องจากต้องการเงินอุดหนุนต่อ พยายามจะเพิ่มคนของตนเองโดยไม่มีทิศทางในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเราจะต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านการคมนาคม จะใช้เงินอย่างมหาศาล จะมีการเชื่อมโยงในภูมิภาคและเชื่อมโยงประเทศอื่นในทวีปในโลก จะมีการส่งออก ประเทศไทยจะเป็นแหล่งทุนมากขึ้น ส่งออกมากขึ้น มีการท่องเที่ยวมากขึ้น ต้องการคนในสายอาชีพ รวมทั้งคนที่มีความรู้สูงๆ ซึ่งก็ต้องมาจากการผลิตของ สพฐ. จึงต้องมาคิดเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ในเรื่องของอาชีวศึกษาความจริงมีเรื่องของระบบคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งมีการคิดและสร้างองค์กรขึ้นมาแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ใช้ระบบอย่างจริงจัง ก็ทำให้การศึกษาของสายอาชีพนั้นไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจ ไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร ก็คงต้องมาร่วมคิดในเรื่องเหล่านี้ต่อไป
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ผมได้กล่าวมา เป็นประเด็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลาย ก็จะเป็นการเน้นที่การเชื่อมโยง โยงมาจากสภาพการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยอยู่ในเอเชีย ประเทศไทยอยู่ในอาเซียน เชื่อมโยงกับการจัดการศึกษา เชื่อมโยงเรื่องสำคัญๆ ของการจัดการศึกษาที่อาจจะไม่ได้มีการเชื่อมโยงสอดประสานหรือสอดคล้องกันมากนัก ให้มีการเชื่อมโยงกันเพื่อมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น
เรามักจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมผลการเรียนยังไม่ดี ผลสัมฤทธิ์ยังไม่ดี แต่การจัดการศึกษาเราจะพบว่าหลายๆ ส่วนไม่ได้โยงกับผลสัมฤทธิ์ เพราะฉะนั้นจะโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้อย่างไร โจทย์ที่ผมคิดไว้ เราคงจะต้องร่วมกันคิดต่อไป ..."
ภาพ สถาพร ถาวรสุข
โอกาสนี้ รมว.ศธ.กล่าวแสดงความขอบคุณต่อผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาทุกท่าน โดยหวังว่าจะได้ร่วมกันคิด ร่วมกันปฏิรูปการศึกษา ทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือและเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศ ซึ่ง รมว.ศธ.ได้กล่าวย้ำตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งว่า การจะพัฒนาการศึกษา การจะแก้ปัญหาการศึกษานั้น รัฐมนตรี หรือผู้บริหารทั้งกระทรวง ก็ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งกระทรวง ภาคการศึกษาเอกชน และทั้งสังคม ช่วยกันทำความเข้าใจและร่วมกันผลักดัน ซึ่งหวังว่าทุกฝ่ายในสังคมจะร่วมกันปฏิรูปการศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สพฐ.จะเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันให้มีการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
ขอบคุณที่มาภาพและเนื้อหาจาก ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ