1. แครอทกินแล้วตัวส้ม
แครอทสีส้ม ๆ อุดมไปด้วยสาร "แคโรทีนอยด์" (carotenoid) ซึ่งก็เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เพราะช่วยปกป้องไม่ให้ผิวเกรียมแดดได้ง่าย ๆ ช่วยให้เม็ดสีในผิวของเราทำงานได้สมบูรณ์ แต่ทว่าการกินแครอทมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงประการหนึ่ง คือ "ตัวกลายเป็นสีส้ม" ซึ่งบางคนก็เป็นสีอมเหลืองอมส้ม ดูแล้วซีด ๆ แสด ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก
อาการ "ตัวส้ม" อันเกิดจากการกินอาหารที่มีสารแคโรทีนอยด์สูง เช่น แครอท ส้ม หรือฟักทอง มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "แคโรทีเนเมีย" (carotenemia) ส่วนใหญ่มักพบในเด็กเล็ก ๆ ที่มักถูกป้อนอาหารประเภท น้ำส้ม แครอทบด ฟักทองนึ่ง ให้กินอยู่บ่อย ๆ ส่วนอาการนี้ในผู้ใหญ่ก็สามารถพบได้บ้างเช่นกัน ซึ่งมักเป็นในผู้ใหญ่บางคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับที่ไร้เอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแคโรทีนให้กลายเป็นวิตามินเอ จึงมักประสบปัญหาตัวส้มตัวเหลืองได้ แถมเป็นแล้วใช้เวลานานกว่าสีผิวจะกลับเข้าสู่สภาพปกติด้วย
2. บีทรูทกินแล้วฉี่เป็นสีแดง
"กินบีทรูทเยอะ ๆ แล้วจะฉี่เป็นสีแดง" อาการนี้เรียกว่า "บีทูเรีย" (beeturia) เกิดขึ้นเนื่องจากการกินบีทรูทเข้าไปมาก ซึ่งทำให้เม็ดสีที่ชื่อ บีทาเลียน (betalian) ในร่างกายมีจำนวนมากขึ้น และเมื่อมันเพิ่มจำนวนขึ้น กลไกของร่างกายก็ต้องทำการขจัดมันด้วยวิธีไหนสักอย่าง และวิธีที่ถูกเลือกก็คือการขับมันออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเมื่อกินบีทรูทเยอะ ๆ บางคนจึงปัสสาวะเป็นสีแดง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทั่ว ๆ ไปหรอกนะ มีเพียง 10-14% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นแหละ ... แต่ถ้าหากคุณพบว่าตัวเองฉี่เป็นสีแดงทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กินบีทรูทล่ะก็ ไปพบหมอด่วนเลย!
3. มะเขือเทศกินมากแล้วตัวส้ม
ดูท่าทางผักที่มีสีจัด ๆ จะส่งผลแปลก ๆ กับร่างกายได้เสมอ แม้แต่มะเขือเทศเองก็ไม่เว้น (ความจริงมะเขือเทศจัดอยู่ในหมวดผลไม้ต่างหากนะจะบอกให้ แต่เราก็เรียกว่ามันเป็นผักจนติดปากไปเสียแล้ว) ในมะเขือเทศมีสารที่ชื่อว่า "ไลโคปีน" (lycopene) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ธรรมชาติที่ละลายได้ในไขมัน มีฤทธิ์เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วย แต่ถ้าหากว่าคุณได้บริโภคมะเขือเทศเข้าไปในปริมาณที่เยอะมาก ๆ ในระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน (ประมาณว่ากินน้ำมะเขือเทศเข้มข้นทุกวัน วันละ 1,800 มิลลิลิตร) ผิวของคุณก็จะกลายเป็นสีส้ม ๆ เหมือนกับผิวของมะเขือเทศได้เช่นกัน
นอกจากการกินมะเขือเทศเยอะ ๆ จะทำให้ผิวเป็นสีส้มแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่คุณจะได้รับคือ วิตามินซีที่มากเกินพอดี ซึ่งปกติแล้วร่างกายสามารถจัดการกับวิตามินซีได้เต็มที่สุด ๆ ก็แค่วันละ 2,000 มิลลิกรัม หากมากกว่านั้นแล้วอาจส่งผลให้คุณรู้สึกวิงเวียนคลื่นเหียนได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อร่างกายเท่าไหร่เลย
4. หน่อไม้ฝรั่งกินแล้วฉี่เหม็น
คราวนี้มาถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสีของผัก แต่ว่ากันด้วยเรื่อง "กลิ่น" บ้างดีกว่า มีใครเคยทราบมาบ้างไหมว่า "การกินหน่อไม้ฝรั่งทำให้กลิ่นปัสสาวะของคุณฉุนเฉียวอย่างร้ายแรง"!?
หลังจากกินหน่อไม้ฝรั่งไปแล้วสัก 15 นาที และเมื่อคุณปวดฉี่ก็จงไปเข้าห้องน้ำ คุณ "อาจ" ได้พบว่ากลิ่นปัสสาวะในครั้งนี้มันฉุนกึกจนเกินทน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าผลผลิตอย่างหนึ่งที่ได้จากกระบวนการย่อยหน่อไม้ฝรั่ง คือสารมีเทนไทออลล์ (methanethiol) ซึ่งให้กลิ่นเหลือร้าย เมื่อคุณขับปัสสาวะออกมามันจึงมีกลิ่นที่รุนแรงตามไปด้วย แต่ก็มีเรื่องที่แปลกยิ่งไปกว่านี้อีก เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับรู้กลิ่นฉุนเฉียวนี้ได้ มีประชากรราว 25-50% เท่านั้นที่มียีนซึ่งมีความสามารถในการดมกลิ่นนี้ได้ .. สรุปแล้วคนที่มียีนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่น้อ ^^"
5. ฟักบัตเตอร์นัททำให้ผิวแห้งแตก
ฟักบัตเตอร์นัท (Butternut Squash) เป็นฟักทรงยาวป่องก้น มีชื่อเฉพาะว่า Cucubita Moschata รสชาติหวานมันคล้าย ๆ กับฟักทองของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ ยางของมันอาจทำให้ผู้ที่สัมผัสเกิดอาการผิวแดง ตึง ตามมาด้วยการแห้งและลอก ซึ่งเรียกอาการนี้ด้วยชื่อยาว ๆ ยุ่ง ๆ ว่า Cucubita moschata dermatitis ... ความจริงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะประสบปัญหาเช่นนี้หรอกนะ แต่ถ้าจะให้ดีก็ใส่ถุงมือทุกครั้งที่หั่นฟักบัตเตอร์นัทด้วยแล้วกัน
ขอบคุณเนื้อหาจาก กระปุก.คอม