คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: การบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีอาญา
ในช่วงนี้มีข่าวคราวเรื่องการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ในกรณีพบการทุจริตในการสอบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นข่าวที่สะเทือนถึงความเป็นวิชาชีพชั้นสูงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกที่ทุกองค์กรย่อมมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ก็ต้องแยกแยะกันเป็นเรื่องๆ ไป ในวันนี้จึงหยิบยกกรณีการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยมาเป็นความรู้กันอีกกรณีหนึ่ง นั่นคือได้ผ่านการสอบคัดเลือกมาแล้ว เมื่อได้รับการบรรจุเข้ารับราชการกลับพบว่า มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีอาญา
โดยเรื่องมีอยู่ว่า นายแสน (นามสมมุติ) ซึ่งได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย พบว่ามีประวัติเคยถูกดำเนินคดีอาญา โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหามียาบ้าไว้ในความครอบครอง จำนวน 5 เม็ด และศาลจังหวัดได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน กำหนด 1 ปี ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเห็นว่า นายแสนยังไม่เคยต้องรับโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก จึงยังไม่ขาดคุณสมบัติสำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา มาตรา 30(10) แต่มีปัญหาว่าจะขาดคุณสมบัติ ในกรณีไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีสำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 30(7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 หรือไม่ จึงได้ขอหารือมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.
เรื่องดังกล่าว ก.ค.ศ. โดย อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำพิพากษาว่า นายแสนมีความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และลงโทษตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ถือได้ว่า ศาลได้วินิจฉัยว่า นายแสนเป็นเพียงผู้เสพเท่านั้น มิใช่เป็นผู้จำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน เนื่องจากกรณีที่จะถือว่าเป็นผู้จำหน่ายนั้น จะต้องมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป แต่ในกรณีนายแสนมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง จำนวน 5 เม็ด ศาลได้พิเคราะห์แล้วว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม เมื่อนายแสนเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0504/ ว 208 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2546 ให้ถือว่าไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 รวมทั้งใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาล ซึ่งได้ออกให้นายแสนที่ได้เคยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าไม่พบสารเสพติด มีสุขภาพแข็งแรงดี อันเป็นการแสดงว่าได้ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพจนร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว นายแสนจึงไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ตามมาตรา 30(7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547
ที่หยิบยกมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า สังคมได้ให้โอกาสกับผู้เคยกระทำผิด แต่หากไม่กระทำผิดเลยจะดีกว่า เพราะหากเราต้องเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ก็ต้องเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี จะได้ปฏิบัติงานด้วยความสุข มีความเจริญในหน้าที่การงานสืบไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน