ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (29 ม.ค.) ว่า นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานรวมพล “อสม.นมแม่ เพื่อสายใยรักแห่งครอบครัว” ซึ่งกำหนดจัดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 ที่เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้คนไทยหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นาน 6 เดือนขึ้นไปให้มากขึ้น
นายวิทยา กล่าวถึงผลการศึกษาพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลง ว่า ล่าสุดในปี 2545 พบว่าเด็กไทยอายุ 6-13 ปี มีไอคิวอยู่ที่ 88 จุด ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้คือ 90 – 110 จุด และผลสำรวจพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบ ล่าสุดในปี 2550 พบมีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 72 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 68 ในปี 2550 ถือเป็นดัชนีชี้วัดอนาคตเด็กไทยที่น่าห่วงมาก ซึ่งทั้งไอคิวและพัฒนาการของเด็ก ร้อยละ 70 เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูในครอบครัว อีกร้อยละ 30 มาจากกรรมพันธุ์
“ เรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง พบว่าแม่ไทยในยุคหลังๆ นิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในอัตราที่ต่ำมาก ผลการศึกษาขององค์การยูนิเซฟ ล่าสุดเมื่อพ.ศ. 2549 พบประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 5.4 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย และเป็นลำดับที่ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขจะเน้น 2 เรื่อง คือ พัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน ให้เป็นโรงพยาบาลสายใยรักครอบครัว ปลอดการขายนมผง และประกาศให้เป็นปีแห่งการสร้างอนาคตประเทศไทย ส่งเสริมอสม. ทั่วประเทศที่มี 830,000 คน ให้เป็นผู้วางรากฐานชีวิตเด็กเกิดใหม่ที่มีปีละประมาณ 800,000 คน ให้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม” รมว.สธ. กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า จากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำให้เด็กไทยฉลาด สุขภาพดี อารมณ์ดี มีผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีปัญญาดี หรือฉลาดกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง 11 จุด ลดโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ ไม่ป่วยบ่อย โดยจะให้ อสม. สำรวจหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอดในทุกหมู่บ้านชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และเลี้ยงควบคู่อาหารตามวัยจนลูกอายุ 2 ปีหรือมากกว่า โดยอสม. 1คน จะให้ดูแลสุขภาพครอบครัวคนละ 8-15 หลังคาเรือน และจะให้กรมอนามัยประเมินผลในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสัปดาห์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โลก ตั้งเป้าจะเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ถึงร้อยละ 30
ขอบคุณที่มาจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ