Advertisement
ยาตีกันอันตราย (หมอชาวบ้าน)
โดย ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ยาตีกัน คืออะไร ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?
รู้ไหมว่า ยิ่งใช้ยามากชนิด ก็จะยิ่งเพิ่มยาตีกัน เนื่องจากทุกวันนี้มียาให้เลือกใช้มากกว่าในอดีตเป็นอันมาก ชนิดของยานับวันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีทางเลือกให้แพทย์ได้สั่งจ่ายยาที่มีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากขึ้น ทั้งยังครอบคลุมการรักษาโรคให้กว้างยิ่งขึ้น
ท่ามกลางการค้นพบยาใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็มีโอกาสใช้ยาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นหลายโรค ก็ต้องใช้ยามากชนิดขึ้นตามอาการของโรคที่เป็นทำให้มีแนวโน้มว่าคนจะมีการใช้ยากันมากขึ้น
การที่ต้องใช้ยาหลายชนิดในคราวเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป็นปัญหาอยู่นั้น อาจจะส่งผลให้ยาที่ใช้อยู่นั้นเกิด "ผลต่อกันได้" ซึ่งอาจจะเป็นคุณหรือโทษต่อผู้ใช้ยาก็ได้ และเราเรียกผลของยาชนิดที่หนึ่งที่ไปส่งผลต่อยาอีกชนิดหนึ่งนี้ว่า "ยาตีกัน"
คำว่า "ยาตีกัน" มาจากภาษาอังกฤษว่า druginteraction ซึ่งถ้าแปลตรงตัวจะได้ความว่า ปฏิกิริยาระหว่างยา ในที่นี้ขอเรียกให้เข้าใจตรงกันง่าย ๆ ว่า "ยาตีกัน"
ยาตีกัน มีทั้งคุณและโทษ
เมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อกัน หรือยาตีกัน ซึ่งจะส่งผลบวกหรือลบต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยด้านบวกหรือคุณ ก็จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ของยา ช่วยให้ลดขนาดของยาที่ใช้ลงได้ หรือเมื่อเกิดยาตีกันแล้วทำให้ได้ผลการรักษาดีขึ้น
ขอยกตัวอย่างเช่น การใช้ยาเพนิซิลลิน (ยาปฏิชีวนะ) ร่วมกับยาโพรเบเนซิด (ยารักษาโรคเกาต์) จะเกิด "ยาตีกัน" ขึ้น และทำให้ยาเพนิซิลลินถูกขับออกจากร่างกายได้ช้าลง เป็นผลให้ระดับยาเพนิซิลลินสูงขึ้น และอยู่ในร่างกายได้นาน เสมือนกับมีการยืดระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาให้นานยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องให้ยาในขนาดที่สูง ๆ และ/หรือไม่ต้องให้ยาบ่อย ๆ เป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้ยา และลดค่าใช้จ่ายของยา พร้อมกับคงประสิทธิภาพของยาได้เหมือนเดิมอีกด้วย
"ยาตีกัน" มักจะทำให้เกิดโทษมากกว่า
แต่ในทางตรงกันข้าม ยาตีกันชนิดที่ทำให้เกิดโทษ ซึ่งเป็นปัญหาจากการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เป็นปัญหาที่พบบ่อย ก่อให้เกิดความสูญเสีย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เป็นอันมาก ฉบับนี้ขอยกตัวอย่างยาตีกันที่พบบ่อยและทำให้เกิดโทษหรืออันตรายต่อผู้ใช้ยา ดังนี้
1.การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้
2.การใช้ยาลดไขมันในเลือด กลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซิน อาจพาลให้ไตวาย
3.การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ในโรคเบาหวานกับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้
ยาเม็ดคุมกำเนิด + ยาอะม็อกซีซิลลิน
การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้
ตัวอย่างที่ 1 นี้ต้องขอยกให้กับคุณผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีแฟนแล้วทุกคน เพราะว่าระหว่างที่คุณกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำทุกวันนั้น ก็ด้วยความหวังที่จะใช้ชีวิตครอบครัวตามปกติ และยังไม่ประสงค์ที่จะมีบุตร จึงต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นประจำต่อเนื่องเป็นแรมเดือนแรมปี แต่ถ้าระหว่างนั้นมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin) ซึ่งเป็นยารักษาอาการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอร่วมด้วย เมื่อยาทั้ง 2 ชนิดมาเจอกัน ก็จะเกิดการตีกันของยาได้
โดยยาอะม็อกซีซิลลินจะไปมีผลต่อเชื้อจุลชีพที่อยู่ในทางเดินอาหาร ส่งผลรบกวนการดูดซึมของยาเม็ดคุมกำเนิดในทางเดินอาหาร ทำให้ปริมาณยาคุมกำเนิดที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ลดน้อยลง เมื่อปริมาณยาคุมกำเนิดในเลือดลดน้อยลงกว่าปกติ ก็จะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดน้อยลงด้วย จนอาจทำให้ล้มเหลว ไม่ได้ผลในการคุมกำเนิด และเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้
กรณีนี้ อาจสังเกตด้วยตนเองได้ว่า ขณะนี้ระดับยาคุมกำเนิดในเลือดลดต่ำลง เพราะจะมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ ดังนั้น คุณผู้หญิงที่กำลังอยู่ในระหว่างการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและมีความจำเป็นต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จึงขอแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดประเภทอื่นร่วมด้วย (เช่น การใช้ถุงยางอนามัย) เพื่อช่วยให้คงการคุมกำเนิดได้ระหว่างที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จนกระทั่งหยุดใช้ยาไปแล้ว 1 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะตั้งครรภ์ได้
ยาลดไขมันในเลือด + ยาอีริโทรไมซิน
การใช้ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซินอาจพาลให้ไตวายได้
ตัวอย่างที่ 1 แค่คุมกำเนิดไม่ได้ผล ทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่คาดฝัน และต้องเลี้ยงดูบุตรไปจนโต แต่ตัวอย่างที่ 2 ของยาตีกันนี้ ทำให้เกิดโรคไตวายได้ เรียกว่าเกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้ยา และรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ เพราะโรคไตวายนี้มีอาจารย์แพทย์บางท่านจะผวนคำว่า "ตายไว" และนิยมพูดกันเล่นๆ ว่า "ไตวาย ทำให้ตายไว"
ยาตีกันดังตัวอย่างที่ 2 นี้ก็เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (statins) ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น ซิมวาสแตติน (simvastatin) อะโทรวาสแตติน (atrovastatin) โลวาสแตติน (lovastatin) เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า ชื่อยากลุ่มนี้จะลงท้ายว่า "สแตติน" ทุกตัว จึงเรียกกันติดปากว่า กลุ่มสแตติน
ยากลุ่มสแตตินนี้นิยมจ่ายให้กับผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง และจะต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อควบคุมลดปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่เป็นปกติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้ยอดจำหน่ายยากลุ่มนี้ติดอันดับหนึ่งสูงกว่ายากลุ่มอื่น ๆ ติดต่อกันหลายปีทีเดียว
แต่เมื่อไหร่ที่มีการใช้ยาอีริโทรไมซิน (erythromycin) ร่วมกับยากลุ่มสแตติน ยาอีริโทรไมซินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในผู้ที่แพ้ยาเพนิซิลลิน เมื่อยากลุ่มสแตตินมาพบกับยาอีริโทรไมซิน ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน หรือเกิดยาตีกัน
กรณีนี้ ยาอีริโทรไมซินจะไปยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ทำให้ปริมาณยาสแตตินไม่ถูกทำลายตามปกติ และคงอยู่ในร่างกายนานพร้อมทั้งมีปริมาณมากขึ้น และมีการสะสมตัวยากลุ่มสแตตินในเลือดมากขึ้น จนทำให้เกิดพิษ โดยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบ และเป็นพิษต่อไตได้
ดังนั้น ตัวอย่างที่ 2 นี้เป็นตัวอย่างของยาตีกันที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกันซึ่งแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเปลี่ยนจากยาอีริโทรไมซินไปใช้ยาชนิดอื่นแทน หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มสแตตินอื่นที่ไม่เกิดผลต่อยาอีริโทรไมซิน เช่น ฟลูวาสแตติน (fluvastatin) พราวาสแตติน (pravastatin) เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มสแตตินอยู่ก็จะต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติของตนเองด้วย โดยเฉพาะอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ยาลดน้ำตาลในเลือด + ยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด
การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน กับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้
ตัวอย่างที่ 3 เป็นกรณีของผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylureas) เช่น ไกลเบนคลาไมด์ (glibencalmide) คลอโพรพาไมด์ (chlorpropamide) เป็นต้น
ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งก็ทำนองเดียวกันกับ 2 ตัวอย่างแรกที่จะต้องใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานาน ๆ จะไปทำลายระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ตาฝ้าฟาง และเป็นโรคไตได้
ถ้าผู้ป่วยได้รับยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อและกล้ามเนื้อกลุ่มที่เรียกว่า เอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนก (diclofenac) ไพร็อกซิแคม (piroxicam) ยากลุ่มเอ็นเสด เมื่อเจอกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ก็จะเกิดการตีกันของยาโดยยาเอ็นเสดจะส่งผลให้ปริมาญากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียในเลือดเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้ฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้นตาม จนอาจไม่มีน้ำตาลเหลืออยู่ในเลือดเลย ผู้ป่วยก็อาจจะมีอาการอ่อนแรง เป็นลม หมดสติ และช็อกได้
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 2 ที่จะต้องระวังตัวไม่ควรใช้ยากลุ่มเอ็นเสดร่วมกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย เพื่อไม่ให้เกิดการตีกันของยา และทางที่ดีควรติดตามวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือลดขนาดของยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียลงให้เหมาะสมระหว่างที่มีการใช้ยากลุ่มเอ็นเสดร่วมด้วย
สมุดบันทึกยา : วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันยาตีกัน
จากทั้ง 3 ตัวอย่างของ 3 คู่ของยาตีกัน ที่อาจส่งผลต่อการรักษา และ/หรือทำให้เกิดพิษ เกิดอันตรายจากการใช้ยาได้ ในที่นี้ขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการช่วยป้องกันยาตีกัน ก็คือสมุดบันทึกยา
สมุดบันทึกยาหรือบันทึกรายการยา ใช้บันทึกรายชื่อยาทั้งหมด ทั้งที่ใช้ประจำ และนาน ๆ ใช้ครั้งหนึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน เกลือแร่ และสมุนไพรด้วย โดยนำรายชื่อยาและสารอื่น ๆ เหล่านี้ไปปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ว่าจะมีโอกาสเกิดยาตีกันหรือไม่ จะได้เฝ้าระวัง ป้องกัน และหลีกเลี่ยงตามลักษณะเฉพาะของยาแต่ละคู่แต่ละประเภท
กรณีที่จะไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรักษาโรคก็ขอเสนอให้พกสมุดบันทึกยา (หรือบันทึกรายการยา) ไปด้วยเสมอ และควรแสดงให้กับแพทย์ที่ตรวจรักษาได้รับรู้ และ/หรือแสดงให้เภสัชกรที่จ่ายยาได้ทราบ เพื่อจะจ่ายยาให้เหมาะสมไม่เกิดการตีกัน
ข้อแนะนำการใช้ยา
1.ก่อนใช้ยา ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียด และไม่ควรกินยาของคนอื่น การไม่อ่านฉลากยา และใช้ยาผิดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
2.การกินยาหลังอาหาร หมายถึง กินยาหลังอาหารทันที ไม่จำเป็นต้องรอเวลา (30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง)
3.ยาส่วนใหญ่จะระบุให้กินหลังอาหารเพื่อให้จำง่าย ซึ่งผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภารกิจเร่งรีบจนไม่มีเวลากินอาหารตามมื้อควรกินยาในเวลาเดียวกันเป็นประจำ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการกินอาหาร เพื่อผลในการควบคุมโรค เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาขับปัสสาวะ ที่ต้องกินตรงเวลาทุกเช้า
4.ยาบางชนิดจำเป็นต้องกินหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เนื่องจากมีฤทธิ์กัดกระเพาะ ดังนั้น หากถึงเวลากินยาก็จำเป็นต้องกินอาหารรองท้องไว้ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากยากัดกระเพาะจนอาจเป็นแผลเลือดออก ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการงดยา เพราะจะทำให้ควบคุมอาการของโรคไม่ได้
5.ยาที่ต้องกินก่อนอาหาร หมายถึง กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงขึ้นไป (30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง) เนื่องจากอาหารจะลดการดูดซึมของยา หรือเพื่อให้ยาออกฤทธิ์บรรเทาอาการได้ในเวลากินอาหาร เช่น ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนหากลืมกินยา และกินอาหารไปแล้ว ให้กินยาหลังอาหารมื้อนั้น 1 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้ท้องว่าง แต่ต้องระวังว่าเวลาที่กินอาหารจะไม่ใกล้กับยาในมื้อถัดไป
6.ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องกินยาก่อนอาหารเป็นนาที ถึงครึ่งชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจากการกินอาหาร จึงจำเป็นต้องกินอาหารหลังกินยาทุกครั้ง มิฉะนั้นจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้หน้ามืด วิงเวียน เป็นลม และในทางกลับกัน หากงดยาเองเพราะไม่อยากกินอาหารก็อาจทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
7.การกินยามีความสำคัญ ผู้ป่วยที่ไม่มั่นใจในการกินยาควรปรึกษาเภสัชกรที่ห้องจ่ายยาโรงพยาบาลหรือร้านยาทุกครั้ง เพื่อให้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัย เภสัชกรสามารถจัดตารางการกินยาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย หรือแม้แต่ประสานกับแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่ต้องกินวันละหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งไม่สะดวก มาเป็นเพียงวันละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรลดหรือเพิ่มขนาดยาเอง
8.การไปพบแพทย์หลาย ๆ โรงพยาบาล (หรือคลินิก) อาจทำให้ได้รับยาชนิดเดียวกัน ผู้ป่วยต้องกินยาซ้ำซ้อน หรือเกิด "การตีกัน" ของยาซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงแก่ผู้ป่วยได้ การไปพบแพทย์หรือเภสัชกรจึงควรมีรายการยา หรือนำยาที่กำลังใช้อยู่ทุกชนิดไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาว่ามียาซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือยาตีกันหรือไม่ จะได้หาทางแก้ไขและป้องกัน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา
9.ผู้ป่วยที่มีภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรแจ้งเภสัชกรทุกครั้งที่รับยา เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาความเหมาะสมของยา และผลของยาที่อาจมีต่อบุตรในครรภ์หรือบุตรทีได้รับนมแม่
ขอบคุณที่มาจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน
Advertisement
![โกจิเบอร์รี่ สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่ โกจิเบอร์รี่ สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่](news_pic/p16081230801.jpg) เปิดอ่าน 8,951 ครั้ง ![บังคับรถก๊าซแอลพีจีติดสติกเกอร์ บังคับรถก๊าซแอลพีจีติดสติกเกอร์](news_pic/p25073290038.jpg) เปิดอ่าน 9,778 ครั้ง ![jobsDB แนะ 7 แนวทางการรักษาคนเก่ง ดึงดูดคนที่ใช่ ให้อยู่ในองค์กร jobsDB แนะ 7 แนวทางการรักษาคนเก่ง ดึงดูดคนที่ใช่ ให้อยู่ในองค์กร](news_pic/p44613040807.jpg) เปิดอ่าน 50,693 ครั้ง ![6 ข้อดีของการพาลูกไปที่ทำงาน 6 ข้อดีของการพาลูกไปที่ทำงาน](news_pic/p31512232059.jpg) เปิดอ่าน 16,322 ครั้ง ![15 ประโยชน์ของน้ำอัดลมกับงานบ้าน ที่รู้แล้วจะอึ้ง 15 ประโยชน์ของน้ำอัดลมกับงานบ้าน ที่รู้แล้วจะอึ้ง](news_pic/p82180360951.jpg) เปิดอ่าน 15,464 ครั้ง !["ราชบัณฑิตฯ" แจงชื่อเมืองหลวงใหม่ ใช้ได้ทั้ง Krung Thep Maha Nakhon และ Bangkok "ราชบัณฑิตฯ" แจงชื่อเมืองหลวงใหม่ ใช้ได้ทั้ง Krung Thep Maha Nakhon และ Bangkok](news_pic/p46361801048.jpg) เปิดอ่าน 11,631 ครั้ง ![บุหรี่ ไม่สูบ ไม่ได้เหรอ? บุหรี่ ไม่สูบ ไม่ได้เหรอ?](news_pic/p91103760525.jpg) เปิดอ่าน 10,730 ครั้ง ![ไม้มงคลประจำวันเกิด ปลูกเสริมโชคลาภ ไม้มงคลประจำวันเกิด ปลูกเสริมโชคลาภ](news_pic/p30622160941.jpg) เปิดอ่าน 18,337 ครั้ง ![หลักฟื้นสภาพจิตใจหลังน้ำลด หลักฟื้นสภาพจิตใจหลังน้ำลด](news_pic/p38899210744.jpg) เปิดอ่าน 8,857 ครั้ง ![ยิงแอดบน Facebook เองกับจ้างเอเจนซี่ อันไหนเวิร์คกว่ากัน ยิงแอดบน Facebook เองกับจ้างเอเจนซี่ อันไหนเวิร์คกว่ากัน](news_pic/p11639381220.jpg) เปิดอ่าน 10,559 ครั้ง ![สารอาหาร ที่เซลล์มะเร็งต้องการ สารอาหาร ที่เซลล์มะเร็งต้องการ](news_pic/p61198050718.jpg) เปิดอ่าน 9,737 ครั้ง ![แอปเปิ้ลหลากสีหลากประโยชน์ แอปเปิ้ลหลากสีหลากประโยชน์](news_pic/p98814070648.jpg) เปิดอ่าน 15,898 ครั้ง ![5 สเต็ปคิดสักนิดก่อนตัดสินใจกู้ 5 สเต็ปคิดสักนิดก่อนตัดสินใจกู้](news_pic/p11503590823.jpg) เปิดอ่าน 12,083 ครั้ง ![อากาศแบบนี้จะปกป้องผิวหน้าอย่างไรดี? อากาศแบบนี้จะปกป้องผิวหน้าอย่างไรดี?](news_pic/p22853650234.jpg) เปิดอ่าน 10,002 ครั้ง ![ผู้อยู่ลำดับสี่ในตารางสัมภาษณ์งาน มีโอกาสได้งานทำมากที่สุด ผลการวิจัยบอก ผู้อยู่ลำดับสี่ในตารางสัมภาษณ์งาน มีโอกาสได้งานทำมากที่สุด ผลการวิจัยบอก](news_pic/p62827922134.jpg) เปิดอ่าน 14,757 ครั้ง ![Robovi-nano สุดยอดหุ่นยนต์จิ๋ว!!! Robovi-nano สุดยอดหุ่นยนต์จิ๋ว!!!](news_pic/p12877720057.jpg) เปิดอ่าน 9,424 ครั้ง
|
![เคล็ดลับขายของออนไลน์อย่างไรไม่ขาดทุน เคล็ดลับขายของออนไลน์อย่างไรไม่ขาดทุน](news_pic/p94384840455.jpg)
เปิดอ่าน 9,579 ☕ คลิกอ่านเลย |
![ตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจคิดใหม่ทำใหม่เพื่อหัวใจของคุณ ตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจคิดใหม่ทำใหม่เพื่อหัวใจของคุณ](news_pic/p96661180609.jpg)
เปิดอ่าน 11,106 ☕ คลิกอ่านเลย | ![ประกันสังคมสิทธิที่คนวัยทำงานควรรู้ ประโยชน์ที่ได้คุณภาพชีวิตที่ไม่ควรมองข้าม ประกันสังคมสิทธิที่คนวัยทำงานควรรู้ ประโยชน์ที่ได้คุณภาพชีวิตที่ไม่ควรมองข้าม](news_pic/p49407481903.jpg)
เปิดอ่าน 19,980 ☕ คลิกอ่านเลย | ![นอนมากเกิน-น้อยเกิน เสี่ยงเบาหวาน นอนมากเกิน-น้อยเกิน เสี่ยงเบาหวาน](news_pic/p64700790702.jpg)
เปิดอ่าน 9,099 ☕ คลิกอ่านเลย | ![17 พฤติกรรมบ่งชี้ ออทิสติกในเด็ก 17 พฤติกรรมบ่งชี้ ออทิสติกในเด็ก](news_pic/p59371462312.jpg)
เปิดอ่าน 10,556 ☕ คลิกอ่านเลย | ![9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา 9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา](news_pic/p32201270555.jpg)
เปิดอ่าน 11,922 ☕ คลิกอ่านเลย | ![เปิดกลุ่มงานเงินเดือนดี๊ดีสำหรับคนเก่งภาษา เปิดกลุ่มงานเงินเดือนดี๊ดีสำหรับคนเก่งภาษา](news_pic/p77401241343.jpg)
เปิดอ่าน 10,471 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ ![ทำไมดวงอาทิตย์ตอนเช้าหรือตอนเย็นจึงดูดวงใหญ่ ทำไมดวงอาทิตย์ตอนเช้าหรือตอนเย็นจึงดูดวงใหญ่](news_pic/p83403222243.jpg)
เปิดอ่าน 23,363 ครั้ง | ![8 วิธีสุดฮิต พิชิตความรวยบนโลกออนไลน์ 8 วิธีสุดฮิต พิชิตความรวยบนโลกออนไลน์](news_pic/p74114900933.jpg)
เปิดอ่าน 30,512 ครั้ง | ![เรื่องกล้วย ๆ เรื่องกล้วย ๆ](news_pic/p87048790929.jpg)
เปิดอ่าน 15,620 ครั้ง | ![เส้นทางสายไหม เส้นทางสายไหม](news_pic/p99046830740.jpg)
เปิดอ่าน 22,692 ครั้ง | ![ปฏิรูปการศึกษาหลังยุค รธน.มีชัย โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์ ปฏิรูปการศึกษาหลังยุค รธน.มีชัย โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์](news_pic/p73461091233.jpg)
เปิดอ่าน 11,783 ครั้ง |
|
|