Advertisement
❝ วัดหนองบัว เป็นวัดที่เก่าแก่มีอายุประมาณ ๒๐๐ ปี ประจำหมู่บ้านหนองบัว หมู่ ๕ ตำบลป่า อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน สิ่งที่ทรงคุณค่าของวัดหนองบัว คือวิหาร ซึ่งนับเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทลื้อที่สวยงามทางศิลปะอย่างยิ่ง อีกทั้งบนฝาผนังมีจิตรกรรมที่สูงค่าด้านวรรณกรรม เรื่องจันทรคราสชาดก
❞
หนังสืออ่านประกอบ สื่อสารภาษา ท่าวังผาน่าอยู่ คู่เมืองน่าน
จิตรกรรมสูงค่าฝาผนังวัดหนองบัว เรื่อง....จันทรคราสชาดก
โดย : นัทธมน คำครุฑ
ณ เมืองจำปา ซึ่งมีพญาปันธุเป็นเจ้าเมือง มีครอบครัวของสามีภรรยาคู่หนึ่งอาชีพทำไร่ทำสวน ฐานะยากจนมาก ต่อมาภรรยาได้ตั้งท้องและคลอดบุตรชายคนแรกเป็นผู้ชายได้เกิดสุริยุปราคาขึ้น บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า“สุริยคราส” บิดามารดาได้เลี้ยงดูบุตรชายด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ จนบุตรชายคนแรกมีอายุได้ ๒ ปี มารดาจึงตั้งท้องบุตรคนที่ ๒ และคลอดออกมา เป็นผู้ชาย วันที่นางคลอดเกิดจันทรุปราคา จึงตั้งชื่อว่า “จันทรคราส” เด็กทั้งสองได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากบิดามารดา จนเติบใหญ่ และเป็นเด็กที่มีความแข็งแกร่ง
วันหนึ่งสองพี่น้องไปเก็บปูที่ทุ่งนามา ๔ ตัว แล้วนำมาเผากิน สุริยคราสได้แบ่งไว้ให้พ่อกับแม่ ๒ ตัว ตัวเองกับน้อง กินคนละตัว แต่จันทรคราสกินไม่อิ่มอ้อนวอนขอพี่อีกจนหมด พ่อกับแม่กลับมาเห็นกระดองปูเรี่ยราดจึงถามลูก ๆ พอรู้เรื่อง ด้วยความหิวพ่อจึงใช้ไม้ตีจันทรคราส แต่สุริยคราสสงสารน้องจึงพาน้องหนีออกจากบ้าน และพลัดหลงอยู่ในป่า
สองพี่น้องอยู่ในป่าหลายวัน ได้เห็นงูกับพังพอนสู้กัน เมื่องูตายพังพอนก็ไปคาบเปลือกไม้ชนิดหนึ่ง โดยเคี้ยวก่อนจะใส่ในปากงูทำให้งูฟื้นขึ้นมาแล้วสู้กันต่อ ครั้นพังพอนตายงูก็เคี้ยวเปลือกไม้ใส่ปากพังพอนบ้าง พอพังพอนฟื้นสัตว์ทั้งสองก็หายเข้าไปในป่า สองพี่น้องจึงเก็บเปลือกไม้ไว้และพากันเดินทางต่อไป
เด็กทั้งสองเดินทางมาพบพระฤๅษีกำลังนั่งวิปัสสนาอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะนั้นมีอีกาตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้และถ่ายอุจจาระตรงหัวพระฤๅษี พระฤๅษีจึงสาปให้อีกาตาย เด็กทั้งสองอยากทดลองเปลือกไม้นั้น สุริยคราสจึงเคี้ยวเปลือกไม้ใส่ปากอีกา อีกาฟื้นขึ้นมาและสำนึกในบุญคุณของเด็กทั้งสอง จึงอาสาหาอาหารและผลไม้ให้กินทุกวัน
เมื่ออาหารและผลไม้หมดป่า อีกาจึงนำเด็กทั้งสองไปทิ้งไว้เมืองยักษ์ เพื่อให้เป็นอาหารของยักษ์ต่อไป ส่วนอีกาขโมยเนื้อจากเมืองยักษ์ไป ยักษ์จึงจับอีกากินเป็นอาหาร
สองพี่น้องถูกหัวหน้ายักษ์จับตัวไปขังไว้ เพื่อเป็นอาหารในการจัดงานศพเมียของตน โดยขังไว้กับศพเมียยักษ์ เด็กทั้งสองจึงช่วยเหลือด้วยการเคี้ยวเปลือกไม้ใส่ปากเมียของยักษ์ เมื่อเมียยักษ์ฟื้นขึ้นมา ยักษ์จึงเลิกจัดงาน ทำให้ยักษ์ตนอื่น ๆ ไม่พอใจ จึงเกิดแย่งชิงเด็กทั้งสอง เมียของยักษ์จึงพาสองพี่น้องหลบหนีไปที่เมืองกาสี
ณ เมืองกาสี พญาสุคะโตผู้ครองนคร มีธิดาชื่อสุจาติงสาได้สิ้นพระชนม์เพราะถูกงูพิษกัด พญาสุคะโตจึงประกาศว่าถ้าใคร สามารถช่วยชีวิตพระธิดาได้ จะให้รางวัล ส่วนสุริยคราสและจันทรคราสเมื่อถึงเมืองกาสี มีเศรษฐีได้รับเลี้ยงไว้ ครั้นทราบข่าว สุริยคราสอาสาไปช่วยชีวิตด้วยเปลือกไม้ พญาสุคะโตจึงยกพระธิดาให้กับสุริยคราส พร้อมทั้งให้ครองเมืองกาสีต่อจากพระองค์
จันทรคราสได้อยู่กับเศรษฐีต่อไป วันหนึ่งจันทรคราสทราบข่าวว่าลูกเจ้าของเรือที่จะเดินทางไปค้าขายกับเมืองอินตะปะถะ เสียชีวิตเพราะถูกเสือกัดจึงได้นำเปลือกไม้ไปช่วยและฟื้นขึ้นมา เจ้าของเรือจึงยกเรือให้จันทรคราส และจันทรคราสก็ออกเดินทางไปยังเมืองอินตะปะถะ
เมืองอินตะปะถะนั้นพญาพรหมจักรเป็นผู้ครอง มีธิดาที่เพิ่งประสูติชื่อเตวธิสังกา โหรได้ทำนายว่าเมื่อนางอายุถึง ๑๖ปี จะถูกเสือกัดตาย พญาพรหมจักรจึงสั่งให้ดูแลพระธิดาไม่ให้ออกจากเมือง จนกระทั่งนางอายุ ๑๖ ปี ได้เห็นเขี้ยวเสือจึงหยิบมาเล่น แล้วถูกเขี้ยวเสือทิ่มที่เท้าเกิดอักเสบจนเสียชีวิต พญาพรหมจักรประกาศให้รางวัลผู้ที่ช่วยชีวิตธิดาของตน ขณะนั้นจันทรคราสมาถึงเมืองอินตะปะถะ ทราบข่าวจึงอาสาเข้าช่วยเหลือนางด้วยเปลือกไม้จนกระทั่งฟื้น ครั้นนางเห็นจันทรคราสก็เกิดความรักขึ้น พญาพรหมจักรจึงได้จัดพิธีอภิเษกสมรสและแต่งตั้งให้จันทรคราสเป็นอุปราช
เมื่อพญาพรหมจักรสวรรคต ขุนนางจึงเชิญให้จันทรคราสปกครองเมืองอินตะปะถะสืบต่อมา หนึ่งปีผ่านไปจันทรคราส คิดถึงสุริยคราสผู้เป็นพี่ชาย จึงให้ขุนนางเตรียมเรือและออกเดินทางไปเมืองกาสีพร้อมนางเตวธิสังการะหว่างการเดินทางเกิดพายุ เรือสำเภาเกิดล่มกลางทะเล ทำให้จันทรคราสและนางเตวธิสังกาพลัดพรากจากกัน
หลังจากพลัดพรากจากจันทรคราสแล้ว นางเตวธิสังการ้องไห้คร่ำครวญเดินไปพบบ้านหลังหนึ่งในเมืองอนุปะมะยายปริสุทธิ เจ้าของบ้านจึงให้นางอาศัยอยู่ด้วย ข่าวทราบถึงเจ้าผู้ครองนครคือ พญาสุตัสสะนะจักรเพราะความงามของนาง พระองค์จึงให้ขุนนางไปขอมาเป็นมเหสี ยายปริสุทธิทราบข่าวจึงปฏิเสธและนำนางเตวธิสังกาไปบวชชี ณ สำนักแม่ชีในเมืองอนุปะมะ
พญาสุตัสสะนะจักรเมื่อผิดหวังจากนางเตวธิสังกา ได้ให้ขุนนางไปขอพระธิดาของพญาธัมมะขัติผู้ครองเมืองอนุราธะ ชื่อนางพรหมจารี พญาธัมมะขัติจึงยกพระธิดาให้ เมื่ออยู่กินกันมาไม่นานได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันบ่อย ๆเพราะพญาสุตัสสะนะจักร เป็นผู้ที่มักมากในกามคุณ หวังจะได้นางเตวธิสังกา มาเป็นอนุภรรยาอีกคน ด้วยความโกรธพญาสุตัสสะนะจักรสั่งให้ขุนนาง นำนางพรหมจารีใส่แพปล่อยลอยน้ำไป
จันทรคราส เมื่อขึ้นฝั่งแล้วก็เดินทางเข้าไปในป่า เห็นครุฑกำลังคาบงูอยู่ ครุฑเห็นคนเดินมาจึงปล่อยงูตกลงมาจันทรคราส จึงรีบเคี้ยวเปลือกไม้ใส่ลงไปในปากงู พองูฟื้นเลื้อยหายเข้าไปในป่า แล้วแปลงกายเป็นเด็กน้อย จันทรคราสเดินเข้าไปหาเด็กน้อย เด็กได้บอกว่าเขาคืองูตัวที่ท่านได้ช่วยชีวิตเอาไว้ และขอตอบแทนบุญคุณท่านโดยหากมีความต้องการสิ่งใดจะนำมาให้ จันทรคราส บอกว่าไม่มีความประสงค์ สิ่งใด แต่อยากจะพบภรรยาซึ่งพลัดพรากจากกันเมื่อตอนสำเภาแตก เด็กน้อยจึงมอบแก้ววิเศษให้แก่ จันทรคราส จันทรคราสอมลูกแก้วปรากฏว่าสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดิน รวมทั้งบิดามารดาที่เมืองจำปา พี่ชายที่เมืองกาสีและนางเตวธิสังกำลังบวชเป็นชีที่เมืองอนุปะมะ จากนั้นเด็กน้อยได้หายตัวไป
จันทรคราสเดินทางต่อไปพบกับพญาทอนนอนจมกองเลือดเนื่องจากถูกทำร้าย แต่เขาไม่สามารถช่วยพญาทอนได้ เพราะเปลือกไม้ที่นำติดตัวมาหมดแล้ว พญาทอนขอให้ช่วยจัดการเผาศพหลังจากที่ตายและมอบดาบวิเศษให้ป้องกันตัว เวลาหิวให้เอาปลายดาบแช่น้ำผึ้งกินแทนข้าวได้ พร้อมกับร้องเท้าวิเศษอีกคู่หนึ่ง เวลาสวมใส่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เมื่อสั่งลาเสร็จ พญาทอนก็สิ้นลมหายใจ หลังจากจัดศพให้เป็นที่เรียบร้อย จึงสวมรองเท้าวิเศษและสะพายดาบวิเศษเหาะไปยัง เมืองสังกัสสะนคร
จันทรคราสเข้าไปพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ขณะนั้นมีกระแสน้ำพัดเอาหญิงสาวสามคนลอยมาติดอยู่ที่หน้าถ้ำ ภายหลังทราบว่าเป็นลูกสาวของเศรษฐีเมืองสังกัสสะนคร ชื่อปทุมมา ทิพย์โสดา และสุกัญทา ฝ่ายเศรษฐีทราบข่าวว่าลูกสาวหายได้ระดมคนค้นหาแต่ไม่พบ จึงไปหาโหรให้ทำนาย และโหรบอกว่านางทั้งสามคนได้หลงทางไปไกล อีกประมาณหนึ่งเดือนจะมีชายหนุ่มนำมาส่งถึงบ้าน
ต่อมาจันทรคราสได้พานางทั้งสามเดินทางเข้าป่า เพื่อที่จะพานางไปส่งถึงบ้านจนถึงเขตเมืองสังกัสสะนคร พบพรานป่ากำลังออกล่าสัตว์จึงได้สอบถามเกี่ยวกับเส้นทางที่จะไปบ้านของสามสาว ทั้งสี่คนเดินทางต่ออีกประมาณ 7 วัน จึงถึงบ้านของเศรษฐี สองเศรษฐีสามีภรรยาดีใจมากที่เห็นลูกสาวอีกครั้ง จึงได้ยกลูกสาวทั้งสามให้เป็นเมียของจันทรคราส
จันทรคราสคิดถึงนางเตวธิสังกา จึงสวมรองเท้าและอมลูกแก้ววิเศษ สะพายดาบเหาะไปถึงแม่น้ำจิระวดี ได้พักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนแพและร้องไห้ จันทรคราสลงไปดึงแพเข้าฝั่งและถามได้ความว่า ชื่อนางพรหมจารีถูกพญาสุตัสสะนะ พระสวามีเอาใส่แพลอยน้ำ นางได้ขอให้พาไปส่งพ่อแม่ที่เมืองอนุราธะ ด้วยความสงสาร จันทรคราสชวนให้นางพักค้างคืนที่นั่นก่อน เมื่อนางหลับสนิทจึงอุ้มเหาะไปยังเมืองอนุธาระ ขณะที่เหาะไปนั้นนางได้ฝันไปว่ามีเทพบุตรเอาแก้วให้อม สามารถมองเห็น เมืองอนุธาระ
นางสุละโยธาเป็นแม่เลี้ยงนางพรหมจารี ได้ฟังเรื่องต่าง ๆ นางโกรธแค้นมากที่ทำให้นางพรหมจารีต้องตกระกำลำบาก จันทรคราสได้เรียนวิชาอาคมจากนางสุละโยธา เมื่อส่งนางพรหมจารีถึงวังของพญาธัมมะขัติผู้เป็นบิดาแล้ว พญากาวินตะ ผู้ครองเมืองไกยะราชได้ส่งสาสน์และเครื่องราชบรรณาการมาสู่ขอนางจากพญาธัมมะขัติ แต่นางพรหมจารีปฏิเสธ เพราะยังเป็นหนี้บุญคุณจันทรคราสที่เคยช่วยชีวิต ในที่สุดพญาธัมมะขัติจึงได้ยกนางให้จันทรคราส
ต่อมาขุนนางได้มาอัญเชิญนางพรหมจารีไปเป็นมเหสีของพญากาวินตะ แต่นางปฏิเสธเช่นเคยและได้บอกแก่ขุนนางไปว่า แม้พญากาวินตะจะตักน้ำมาล้างเท้าให้ทุกวันหรือเอาไปบูชาดุจพระเจ้า นางก็ไม่ยอมทั้งสิ้นพวกขุนนางจึงนำความไปกราบทูล พญากาวินตะโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง จึงยกทัพไปถึงเมืองอนุธาระ นางพรหมจารีไม่หวั่นวิตก ได้เตรียมทัพซึ่งเป็นผู้หญิงล้วน ๆ ต่อสู้กับพญากาวินตะโดยใช้อาคมต่อสู้ พญากาวินตะกระโดดขึ้นนั่งคอช้างคู่บารมีสู้รบกันบนหลังช้าง ในที่สุดต่างฝ่ายต่างหมดแรง ต่อมาพญากาวินตะถูกขุนนางจับตัวไว้ได้และ ทรมานด้วยเหล็กเผาไฟแดงฉานทาบฝ่าพระบาทจนสุกไหม้จึงยอมแพ้
จันทรคราสคิดถึงนางเตวธิสังกาและขออนุญาตนางพรหมจารีกับพญาธัมมะขัติไปตามหา นางเตวธิสังกา ได้ไปอาศัยกับยายปริสุทธิก่อน วันหนึ่งนางเตวธิสังกาได้ออกจากสำนักมาเยี่ยมยายปริสุทธิ พอทราบเรื่องราวที่ยายเล่าให้ฟัง จึงเชื่อว่าชายคนนั้นคือจันทรคราสพระสวามีของตนเองแน่ ๆ จึงขอลาสิกขากับอาจารย์ด้วย ความรักอันดูดดื่มในอดีต นางถึงกับวิ่งเข้าไปสวมกอดร้องไห้ละล่ำละลัก ยายปริสุทธิจึงผูกข้อมือให้ทั้งสองคน
พญาสุตัสสะนะจักรรู้ข่าวการลาสิกขาของนางเตวธิสังกา พระองค์ทรงพิโรธเพราะเคยสัญญากับยายปริสุทธิแล้วหากนางลาสิกขาเมื่อใดให้บอกทันที จะมาสู่ขอเป็นมเหสี ยายปริสุทธิผิดสัญญาจึงถูกปรับเป็นช้างร้อยเชือก วัวร้อยตัว ม้าร้อยตัว เงินและทองคำอีกต่างหาก จันทรคราสจึงเนรมิตช้าง ม้า วัว เงินทองจนครบจำนวนแล้วสั่งให้เสนาอมาตย์มารับเอาไป ขณะที่เสนาอมาตย์กำลังเปิดคอกสัตว์นั้น สัตว์เหล่านั้นได้บินหนีไปหมด คงเหลือเฉพาะเงินกับทองเท่านั้น
พญาสุตัสสะนะจักร รู้ข่าวว่าพญาพันธุเจ้าเมืองกันทะรัฐ มีธิดาสวยชื่อ นางอุตตะมะธานี จึงให้ขุนนางไปสู่ขอเป็นมเหสี ขณะนั้นกองทัพของนางพรหมจารีบุกมาถึงเมืองอนุปะมะพอดี นางได้ส่งสาสน์ท้าให้พญาสุตัสสะนะจักรมาทำสงคราม เมื่อกองทัพบุกประชิดเมืองนางจึงสั่งให้ยิงปืนถล่มกำแพงเมืองจนพังทลาย กระสุนปืนถูกวังของพญาสุตัสสะนะจักร ทหารจับตัวพญาสุตัสสะนะจักรได้แล้วนำไปประหารชีวิต เมื่อเสร็จสิ้นศึกสงครามนางพรหมจารีได้ยกเมืองให้จันทรคราสกับ นางเตวธิสังกาปกครองต่อไป
ฝ่ายขุนนางทั้งหลายที่ไปสู่ขอนางอุตตะมะธานี รู้ข่าวพญาสุตัสสะนะจักรถูกประหารชีวิต จึงยกนางอุตตะมะธานีให้เป็นมเหสีของจันทรคราสอีกคนหนึ่ง ต่อมานางได้ตั้งครรภ์จันทรคราสดีใจมากที่จะได้ทายาทไว้สืบสกุล จึงได้มอบหมายให้นางเตวธิสังกาและขุนนางคอยปฏิบัติรับใช้เอาใจใส่เป็นพิเศษ ต่อมาเมืองกันทะรัฐได้เกิดศึกสงคราม จันทรคราสจึงอาสาไปช่วยรบและได้มอบให้ขุนนางช่วยดูแลเมืองอนุปะมะแทน
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามซึ่งใช้เวลาถึง ๓ ปี จันทรคราสก็กลับถึงเมืองอนุปะมะทราบว่า นางอุตตะมะธานีคลอดบุตรเป็นชาย จันทรคราสปลื้มใจมาก และให้โหรทำนายลักษณะพร้อมทั้งตั้งชื่อให้ว่า“ทุกขัติยะวงศา” เมื่อเจ้าชายเจริญวัย จันทรคราสได้มอบเมืองอนุปะมะให้แก่เจ้าชายและนางอุตตะมะธานี ปกครองต่อไปส่วนจันทรคราสกับนางเตวธิสังกา กลับไปครองเมืองอินตะปะถะ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ นางเตวธิสังกาด้วยความสุข.
วันที่ 17 ม.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,151 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,157 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,157 ครั้ง เปิดอ่าน 7,134 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,147 ครั้ง เปิดอ่าน 7,152 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,173 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,146 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,150 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 15,256 ครั้ง |
เปิดอ่าน 51,978 ครั้ง |
เปิดอ่าน 18,184 ครั้ง |
เปิดอ่าน 821 ครั้ง |
เปิดอ่าน 18,477 ครั้ง |
|
|