สร้างประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย สำหรับ "บารัค โอบามา" นักการเมืองผิวสีผู้จรัสแสงของสหรัฐ ตัวแทนพรรคเดโมแครต หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี "จอห์น แม็คเคน" คู่แข่งแห่งพรรครีพับลิกัน ผงาดเป็นผู้นำทำเนียบขาว ด้วยฉันทามติจากคะแนนเลือกตั้งท่วมท้นของชาวอเมริกัน ที่แห่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางกระแสจับตาว่า ที่สุดแล้ว บารัค โอบามา จะทำสิ่งที่หลายคนทั่วโลกลุ้นเอาใจช่วยได้สำเร็จหรือไม่ ในการคว้าชัยเป็น ประธานาธิบดี "ผิวดำ" คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐ
ประวัติ ของ นาย บารัค โอบามา Barack Obama ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด
บารัค โอบามา (Barack Obama)
ชื่อเต็ม : บารัค ฮุสเซน โอบามา ( Barack Hussein Obama)
วันเดือนปีเกิด : 4 สิงหาคม พ.ศ. 2504
สถานที่เกิด : มลรัฐฮาวาย ประเทสสหรัฐอเมริกา
การศึกษา : มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด
นายบารัค โอบามา เป็นหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันกับเคนยา เกิดที่มลรัฐฮาวาย หลังจากที่บิดาของเขาคือ Barack Obama, Sr. นักศึกษาต่างแดนจากเคนยาที่ทิ้งครอบครัวมาศึกษาต่อ ในอเมริกา และมาพบรักกับ Ann Dunham นักศึกษาสาวจากแคนซัส ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย แต่รักในวัยเรียนดำเนินไปได้ไม่นาน เมื่อโอบามาน้อยลืมตาดูโลกได้เพียง 2 ปี พวกเขาก็แยกทางกัน โอบามาน้อยยังคงอยู่กับมารดาในอเมริกา ส่วนบิดาของเขากลับไป ทำงานที่เคนยา และแต่งงานใหม่กับหญิงอเมริกันในเคนยา เป็นการเริ่มต้นครอบครัวครั้งที่ 3 แต่ก็ไปกันได้ไม่นาน จากความทุกข์ หลายๆ ด้านประดังเข้ามา ทำให้บิดาของเขา เริ่มหันมา "ดื่ม" เพื่อลืมปัญหา
ทาง ด้านมารดาของเขา หลังจากเลิกรากับบิดาของโอบามา เธอแต่งงานใหม่ กับ Lolo Soetoro นักศึกษาชาวอินโดนีเซีย และมีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ Maya เมื่อโอบามา อายุ 6 ปี มารดาของเขากับครอบครัวใหม่ได้ย้ายไปอยู่ ณ เมืองจาการ์ตาในอินโดนีเซีย ที่ที่เขาเริ่มต้นชีวิตวัยเรียนครั้งแรกในต่างแดน จนกระทั่งอายุครบ 10 ปี เขาถูกส่งกลับมาอยู่กับตากับยายของเขาที่ฮาวาย จนกระทั่งจบเกรด 5
บิดา ผู้ให้กำเนิดโอบามาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่โอบามาน้อยกลายเป็นหนุ่มวัย 21 ปี และอีก 13 ปี ต่อมา เขาสูญเสียมารดาที่จากไปด้วยโรคมะเร็งในรังไข่ เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาเขียนหนังสือไว้อาลัยให้กับบิดาของเขา โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "ความฝันจากพ่อของฉัน" หรือ "Dreams from My Father" ซึ่ง ต่อมาเป็นหนังสือขายดีมาก และทำให้หลายคนชื่นชอบในตัวเขา จากแง่คิดในหนังสือเรื่องนี้ ในหนังสือเขาบรรยายถึงความรู้สึกในวัยเด็กของเขาที่มีปมด้อย มีความสับสนในที่มาและที่ไปของเขา เขาเติบโตท่ามกลางสองสีผิว ดังข้อความที่เขากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า "พ่อของฉันไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวฉันเลย ท่าน ตัวดำอย่างกับยางมะตอย แม่ของฉันก็ขาวอย่างกับน้ำนม"
ในวัยรุ่น โอบามารู้สึกแปลกแยกมากในสังคม เขาเปิดอกในหนังสือว่า เขาต้องหัน ไปพึ่งของมึนเมาและยาเสพติด ไล่มาตั้งแต่ เหล้า กัญชา และโคเคน เพื่อทำให้ลืมว่าเขาเป็นใคร... โอบามาเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลายในความคิดเรื่องศาสนา... จากพ่อผู้ให้กำเนิดชาวมุสลิมที่มีความเชื่อว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง จากแม่ที่มาจากครอบครัว ที่ไม่ยึดถือศาสนาใด และพ่อเลี้ยงชาวอินโด นีเซียที่ไม่เห็นว่าศาสนามีความสำคัญมากนักในการดำเนินชีวิต... เขาจึงต้องพยายามแสวงหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วยตนเอง จนกระทั่งเขาลงเอยที่เป็นสมาชิกของโบสถ์ Trinity สังกัด United Church of Christ ที่ไม่ปิดกั้นการคิดเชิงวิจารณ์ (Critical Thinking) พร้อมทั้งไม่ขัดขวางการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และเท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจ
แม้ ว่าชีวิตในวัยเยาว์ของโอบามาจะ ไม่เป็นสุขมากนัก แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่มีชื่อเสียง หลังจากเรียนจบเขาเข้าร่วมงานกับองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยเป็นที่ปรึกษาโครงการฝึกอาชีพให้แก่โบสถ์แห่งหนึ่งในชิคาโก เมื่อเขาอายุได้ 27 ปี เขาศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปีเดียวกันนั้นเขาพบรักกับ Michelle Robinson นิติกรสาวผิวดำจากบริษัทกฎหมาย Sidley & Austin ในชิคาโกที่เขาเคยร่วมงาน ขณะศึกษาอยู่ได้ 2 ปี เขาเป็นคนผิวดำคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในรอบ กว่าศตวรรษ จากนั้นเมื่อเขาสำเร็จนิติศาสตร์ ในปี 1991 เขามารับหน้าที่เป็นที่นิติกรสมทบ ให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย Miner, Barnhill & Galland ในชิคาโก และสมรสกับ Michelle ในปีต่อมา และมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ Malia และ Natasha จากนั้นเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมือง Hyde Park ในชิคาโก ขณะเดียวกันเขาเริ่มงานสอนหนังสือวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโกจนถึงปี 2004
ในปี 2004 นี้ เองเป็นปีที่ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเมืองของสหรัฐฯ จากการได้รับเลือกเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกในสภาสูงจากรัฐอิลลินอยส์และเขาได้ ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมพรรคเดโมแครตประจำปี ซึ่งสุนทรพจน์ของเขาในครั้งนั้นโดนใจชาวเดโมแครตหลายคน รวมทั้ง สื่อมวลชนด้วย เรียกได้ว่าเขาเป็นนักการเมือง หนุ่มหน้าใหม่ที่มาแรงในยุคนี้ ด้วยประวัติทาง การเมืองยังค่อนข้างใสสะอาด ยังไม่มีผลงาน ที่ติดลบ เพราะยังมีผลงานไม่มากนัก แต่ด้วย ความที่เป็นคนที่มีวาทศิลป์ยอดเยี่ยม ผนวกกับมาดปัญญาชน สุขุม ลุ่มลึก และติดดินอยู่ในที สามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักการเมืองผู้หนาประสบการณ์ พนักงานบริษัทไปจนถึงเกษตรกร อีกทั้งสตรี เด็ก และคนชรา อย่างไรก็ดี มีนักวิเคราะห์การเมืองอย่าง Robert Putnum แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด มีความเห็นว่า โอบามาจืดไปสำหรับ การเมือง เทียบไม่ได้กับบิล คลินตัน...บารมีและวาสนาของบารัก โอบามา จะไปถึงขั้นเป็นผู้นำของประเทศนั้น ยังไม่มีใครตอบได้
ต้อง ยอมรับ ว่าในส่วนวงการบันเทิงนั้นเรื่องสีผิว ค่อนข้างเท่าเทียมแล้ว แต่ยังมีความพยายามพลักดันให้ประเด็นลดการเหยียดผิวไปพิสูจน์ตัวเองในระดับ ชาติ นั่นเอง โอบามาจึงได้รับอนิสงค์จากประเด็นนี้ไปอย่างเต็มๆ อย่างการโดดมาช่วยโอบามาหาเสีย ของ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรผิวสีรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐ ทำให้ฐานเสียงโอบามาแน่นขึ้น และโกยคะแนนเป็นกอบเป็นกำ
ล่าสุดนี้ อย่างที่เรารู้กัน จากข่าว โอบามาเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2008 โดย ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ ในการคอคัสรอบแรกที่จัดขึ้นในรัฐไอโอวา เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551 เขาได้รับคะแนนนิยม 38% เหนือนายจอห์น เอ็ดเวิร์ดส (30%) และนางฮิลลารี คลินตัน (29%) อย่างพลิกความคาดหมาย
ที่มาhttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hopeland&month=01-2008&date=11&group=1&gblog=17
โอบามา คว้าชัยเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ด้วยคะแนน 333 เสียง ต่อ 155 เสียง
นายบารัค โอบามา ตัวแทนพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อนายจอห์น แมคเคน จากรีพับลิกัน ในการเลือกตั้งที่ มลรัฐยูทาห์ และ แคนซัส ใน มลรัฐยูทาห์แมคเคน เป็นฝ่ายชนะ โอบามา ไปแบบขาดลอย 61 ต่อ 37 % ขณะที่ใน แคนซัส แมคเคน ก็เป็นฝ่ายชนะไป อีก 55 ต่อ 43 %
ขณะเดียวกัน นายโอบามา สามารถคว้าชัยชนะได้ที่ มลรัฐไอโอวา ด้วยคะแนน ขาดลอย 72 ต่อ 27 %ทำให้ เขายังคงมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง นำ นายแมคเคน อยู่ที่ 207 - 129 คะแนน และ โอบามาต้องการอีกเพียง 63 คะแนนเท่านั้น ก็จะเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ในทันที
โอบามา ประกาศหลังคว้าชัย นำอเมริกาสู่การเปลี่ยนแปลง
นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ คนที่ 44 ขึ้นกล่าวปราศรัยขอบคุณกับผู้สนับสนุน วันนี้ (5 พฤศจิกายน) หรือเมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ที่แกรนด์พาร์ค ชิคาโก หลังคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง หรืออิเล็กทรอรัลโหวต เกิน 270 เสียงขึ้นไป คว้าชัยชนะ
นายโอบามา กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาลงคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และไม่ได้แบ่งเป็นสีแดง หรือสีน้ำเงิน แต่เป็นสหรัฐอเมริกา โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงมาถึงอเมริกาแล้ว และกล่าวอีกว่า เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา นายแมคเคนได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีแล้ว พร้อมกล่าวชมแมคเคนว่าชาวอเมริกาควรชื่นชมที่นายแมคเคนเสียสละช่วยสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งขอบคุณ นาย โจ ไบเดน ผู้ที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาในการหาเสียงเลือกตั้ง และ 16 ปีที่ผ่านมาเขาได้รับการสนับสนุน และความรักจากภรรยาของเขา มิทเชล โอบามา รวมทั้งลูกทั้ง 2 คน และว่า คุณยายของเขาแม้ไม่ได้มาร่วมยินดี แต่เชื่อว่าเธอจะเฝ้ามองจากที่ใดที่หนึ่ง
นายโอบามา ยังกล่าวขอบคุณผู้จัดการรณรงค์หาเสียงของเขาด้วยที่ทำให้การเลือกตั้งสำเร็จ โดยเป็นผู้จัดการเลือกตั้งที่ดีที่สุดที่เคยมีมา พร้อมทั้งขอบคุณบุคคลที่สนับสนุนเขาทุกคน และนี่คือชัยชนะของทุกๆ คน
เขายังกล่าวว่า จะต้องแก้ปัญหาสงคราม พลังงานทดแทน แม้ว่าการทำทุกอย่างจะยาก แต่มีความหวังว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ทั้งนี้ รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่พร้อมจะรับฟังเสียงประชาชน
นายโอบามา กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องมีจิตวิญญาณในการแก้ปัญหา และไม่ใช่วอลสตรีทจะรุ่งเรืองอย่างเดียว แต่คนธรรมดาจะต้องดีด้วย
เขายังกล่าวย้ำสิ่งที่อับราฮัม ลินคอน เคยพูดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ศัตรูกัน เขาต้องการความช่วยเหลือของประชาชนทุกคน และจะเป็นประธานาธิบดีที่ดีของประชาชน และประชาชนที่อยู่ทั่วโลกจะได้เห็นอรุณรุ่งวันใหม่ของผู้นำสหรัฐอเมริกา ใครร้องหาสันติภาพจะสนับสนุน แต่ใครที่จะทำลายล้าง ก็จะทำลายล้างกลับ โดยสิ่งที่จะชนะคนที่คิดจะทำลายล้างสหรัฐฯ ได้ จะมาจากพื้นฐานประชาธิปไตย และความมีเสรีภาพ
เขากล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สหรัฐฯ ก็ยังเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย เราควรทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
|