กินเร็วอ้วนเร็ว กินช้าอ้วนช้า
สังคมอเมริกันมีคนอ้วน มากมายเหลือเกินไปที่ไหนก็เจอแต่คนอ้วนเต็มถนนไปหมด เขาว่าคนอเมริกันอ้วนขนาดเป็นโรคอ้วนเกินร้อยละ 20 เข้าไปแล้ว
คนอเมริกันขยายทางส่วนกว้างมากขึ้น แต่ละคนเจ้า
เนื้อทั้งหญิงทั้งชายเด็กเล็กๆ เอง ก็ไม่เว้น เริ่มอ้วนกันตั้งแต่เด็กยังไม่ทันโตหากอ้วนได้อย่างนั้นบอกได้เลยว่า ออกจะลดยากอยู่สักหน่อย เด็กๆ หากอ้วนแล้วเซลล์ไขมันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นคิดอยากจะลด ก็คงลดได้แค่ขนาดของเซลล์ จำนวนเซลล์คงลดไม่ได้ เผลอหน่อยเดียวเซลล์ที่ลดขนาดลง ก็อ้วนขึ้นได้อีก เด็กอ้วนจึงลดความอ้วนได้ยากเย็นแสนเข็ญหากใจเด็ดไม่พอ เห็นทีจะลดยาก
คนอ้วนอเมริกันแบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือ อ้วนเอวกับอ้วนสะโพก
อ้วนเอว คือพวกที่พุงโต ฝรั่งเขาเรียกว่าหุ่นแบบแอ๊ปเปิ้ล (Apple shape)
ส่วนอ้วนสะโพกเขาเรียกว่าหุ่นแบบลูกแพร์ (Pear shape)
เคยมีรายงานการวิจัยได้ข้อสรุปว่า คนที่อ้วนพุงมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ มากกว่ากลุ่มที่อ้วนสะโพก ดังนั้นใครที่รู้ตัวเองว่าอ้วนพุง ขอให้หาทางลดเสียให้ได้ ไม่ยังงั้นแล้วอาจจะเจอโรคหัวใจถามหา
ตอนนี้โปรแกรมลดความอ้วนในสหรัฐอเมริกา กำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มียาหลายชนิดนำออกสู่ตลาด ยาลดความอ้วนบางชนิดออกมาวางขายได้สักพักก็ต้องถอนออกไป เพราะพบว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างเช่น ยาเฟนเฟน มีคลินิกลดความอ้วนกลาดเกลื่อน ใช้วิธีการสารพัด ทั้งงดอาหาร ออกกำลัง พลังจิต โยคะ มังสวิรัติ ฯลฯ
มีงานวิจัยอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นที่น่าสนใจ ให้ข้อมูลว่า "คนกินเร็วอ้วนเร็ว คนกินช้าอ้วนช้า" เรื่องของเรื่องคือ มีข้อเท็จจริงอยู่ว่าคนที่กำลังจะอ้วนหรืออ้วนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นคนกินเร็ว กินมาก อาหารหนักไปทางไขมัน หนักแป้ง
อาหารไขมันสูงจะช่วยให้อาหารอร่อยมากขึ้น ทำให้กินได้มาก แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินไขมันแต่ไม่ยักอ้วน ขึ้นอยู่กับวิธีการกินด้วย ความหิวของคนเรา เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะสั่งงานว่า "หิว" เมื่อได้กินอาหารไปสักพัก น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง สมองก็สั่งงานออกมาว่า "อิ่ม"
ปัญหาของความอ้วนอยู่ตรงที่ว่า สมองมักจะตอบสนองต่อการสูงขึ้นของน้ำตาลค่อนข้างช้า น้ำตาลสูงขึ้นประมาณ 15 นาที แล้วสมองเพิ่งจะสั่งการและการที่สมองสั่งการช้าอย่างนี้นี่เอง ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยกินอาหารเกินกว่าที่ตนเองต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กินอาหารเร็ว
อาการกินเร็ว ถือช้อนไว้ตลอดเวลา อาหารอยู่ใกล้ปาก ตักโน่นตักนี่กิน เคี้ยวเร็ว กลืนเร็ว อาหารเข้าสู่ท้องไปตั้งแยะจนย่อยไม่ทัน น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ช้ากว่าความเร็วที่อาหารลงกระเพาะ สมองที่ตอบสนองช้าอยู่แล้ว กว่าสมองจะสั่งการว่าอิ่มได้ พลังงานที่ร่างกายได้รับ ก็อาจเพิ่มขึ้นไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์มากกว่าที่ร่างกายต้องการ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ความอ้วนก็ไม่หนีไปไหนหรอกครับ
คนอ้วนหรือคนที่กำลังจะอ้วน จึงมักจะเป็นคนที่กินอาหารเร็ว ได้รับอาหารเกินปกติโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว นั่งกินข้าวอยู่กับคนอื่น ตนเองกินจานที่สองเข้าไปแล้ว หยิบกับข้าวโน่นนี่ใส่จาน เพื่อนร่วมโต๊ะที่ไม่อ้วน อาจจะยังกินจานแรกไม่เรียบร้อยเลยด้วยซ้ำ หากเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เห็นทีต้องหาทางหยุดเสียแล้ว เพราะหากปล่อยให้อ้วน การที่จะลดให้ลงมาเหมือนเดิมนั้น ทำได้ค่อนข้างยาก ใครที่สังเกตว่าตนเองกินอาหารเร็ว กำลังจะอ้วนหรืออ้วนแล้วก็ตามที หากต้องการจะลด วิธีการที่ไม่ยากจนเกินไปนักคือ ต้องลดความเร็ว ของการกินลงให้ได้ ต้องกินอย่างมีสติให้ความเร็วของการสั่งงานของสมองสอดคล้องกับความเร็ว ที่อาหารเดินทางลงกระเพาะสักหน่อย
การกินช้า จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานพอเหมาะไปโดยอัตโนมัติ ใครที่อ้วนอยู่แล้ว หรือกำลังจะอ้วน เห็นทีต้องเริ่มฝึกการกินช้า เหมือนอย่างที่กลุ่มมาโครไบโอติก หรือชีวจิตแนะนำนั่นแหละคือ ค่อยๆ เคี้ยว อย่างเช่น มีการแนะนำให้เคี้ยวอาหารแต่ละคำสัก 50 ครั้ง แต่ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องนับหรอกครับ
ตักอาหารเข้าปากแล้ววางช้อนไว้ข้างจานขณะเคี้ยวอาหารทุกครั้ง จะทำให้ความเร็วในการกินลดลงไปได้เอง ค่อยๆ เคี้ยว ไม่ต้องรีบร้อน หากมีเพื่อนร่วมโต๊ะก็อาจจะคุยกับเพื่อน เพื่อละสมาธิออกจากอาหาร หากกินอาหารได้หนึ่งคำ จิบน้ำไปพลาง จะทำให้กระเพาะเต็มเร็ว ในขณะที่น้ำตาลในเลือดค่อยๆ สูงขึ้นไปได้
อย่ากินจนรู้สึกอิ่ม แต่ให้กินจนกระทั่งรู้สึกว่าไม่หิวแล้วให้หยุด เพื่อให้กระเพาะมีช่องว่างสำหรับการย่อยได้ ตำราฝรั่งสอนวิธีการกินไม่ให้อ้วน เหมือนอย่างที่ศาสดาในศาสนาอิสลามสอนไว้เหมือนกัน นั่นคือ แบ่งกระเพาะไว้สามส่วน กินอาหารหนึ่งส่วน น้ำหนึ่งส่วน และปล่อยที่ว่างไว้หนึ่งส่วน ร่างกายจะได้รับพลังงานพอเพียง ที่สำคัญก็คือ พลังงานอาจจะน้อยกว่าที่เคยได้รับสมัยกินเร็วถึงเท่าตัวก็ได้
ลองกินอาหารสักจานโดยใช้เวลาสัก 20 นาทีดูบ้าง กินเพียงให้หายหิวแล้วหยุด หากทำได้อย่างนี้ พลังงานที่ได้รับต่อวันจะลดลง ความอ้วนที่เคยสะสมไว้ จะเริ่มลดลงได้เองช้าๆ ลองดูซิครับ
(ที่มาฟิตเวย์ )
|