หลายคนคิดว่าการเป็นนักร้องนั้น แค่เสียงดี ลีลาเด่น แล้วก็ร้องถูกต้องตามจังหวะก็เป็นนักร้องได้แล้ว ผมเองก็เคยคิดแบบนั้น จนกระทั่งได้มาเรียนนักร้อง ที่โรงเรียนดนตรี คิดว่าง่าย สัปดาห์แรกต้องฝึกเปล่งเสียง โด เร มี….. วนไปวนมาร่วมกับเปียโน สลับการฝึกการหายใจ เครียดมาก ๆ จนสัปดาห์ที่ 2 เริ่มที่จะร้องตามโน้ตดนตรี เราก็มานึกทำไมมันยากมันเย็นนะ นึกว่าพอมาสมัครแล้วก็เรียนร้องเพลงที่เราชอบเลย ท้อใจเหมือนกัน ต่อมาสัปดาห์ที่ 3 มาเรียนตัวโน้ตและเคาะจังหวะด้วยไม้ ศึกษาตัวโน้ตห้องหนึ่งมีกี่ตัว และครึ่งจังหวะจะต้องออกเสียงอย่างไร ขนาดเป็นนักร้องนะ ถ้านักดนตรีคงต้องขอลา โดยผู้สอนให้เหตุผลว่าเราจะไม่หลงจังหวะในการร้องเพลง และสามารถร้องได้แม้เห็นเพียงตัวโน้ต ก็โอเค หลังจากนั้นสัปดาห์ต่อมาอันนี้หมู ฝึกการอ่านอักขระภาษาไทย และอังกฤษให้ชัดเจน รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อให้ปอดมีกำลัง ก็เริ่มมีความผ่อนคลายบ้าง ถัดจากนั้นก็จะมาเรียนในเรื่องของอารมณ์เพลง ภาษากายที่แสดงออก เรียกง่าย ๆ ฝึกแอคติ้ง แหละ ว่าเพลงนี้อารมณ์ไหน แล้วควรแสดงท่าทางแบบใด ไม่ใช่สักแต่ว่าแหกปากอย่างเดียว หรือเพลงเศร้า แต่หน้ายิ้มระรื่น จะร้องเพลงออดอ้อน เสียงควรแบบไหน เพลงไหนควรกระแทกเสียง เป็นต้น ผ่านมาก็เข้าสู่การร้อง อันนี้ใฝ่ฝันมานาน คิดว่าสบาย แต่เปล่าเลย เราต้องร้องเพลงที่ครูให้มา จากนั้นครูก็จะคอยดูว่าตรงไหนร้องผิด ร้องเพี้ยน เพื่อจะมาปรับปรุงเป็นท่อน ๆ ไป หนักมาก เริ่มจากเพลงไทยเดิม เพื่อฝึกลูกคอ เข้าสู่ เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ไทยสากล และเพลงสากลสุดท้าย กว่าจะสอบผ่านเล่นเอาเหงื่อตก ทำให้รู้ว่าเป็นนักร้องเนี่ย ถ้าเข้าเรียนจริง ๆ แล้ว ยากมาก ๆ กว่าจะได้ออกมาสู่บนเวทีขับร้องเพลงให้คนได้ฟังแล้วมีความสุขน่ะ อันนี้คือเบื้องต้นของการเรียนขับร้อง แต่ครูที่สอนบอกว่ายังมีขั้นกลางและสูงอีก ก็เลยว่าขอไปฝึกทักษะจนมีประสบการณ์ก่อน แล้วจะกลับมาเรียนต่อ