ประวัติ
โอบามาเกิดที่เมืองโฮโนลูลู ในรัฐฮาวาย บิดาเป็นชาวเคนยา มารดาเป็นชาวอเมริกัน เมื่ออายุได้ 6 ขวบ มารดาแต่งงานใหม่กับชาวอินโดนีเซีย และย้ายไปอยู่ที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย กับแม่และพ่อเลี้ยงของเขาเป็นเวลา 4 ปี โอบามาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เคยทำงานเป็นผู้จัดการวงการสังคม, อาจารย์มหาวิทยาลัย และทนายสิทธิพลเมืองมาก่อนที่จะหันมาสนใจการเมือง เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1997 ถึง ค.ศ. 2004 เคยสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในการเลือกตั้งปี 2000 แต่ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเริ่มหาเสียงในการสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2003
โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติปี 2004 ขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ จากนั้นได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 ด้วยคะแนนเสียงกว่า 70%
ในระหว่างการทำหน้าที่ในสภาคองเกรสที่ 109 นั้น โอบามาได้เรียกร้อง ให้มีการควบคุมการใช้อาวุธ และเรียกร้องให้มีการแถลงการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล ให้สาธาณชนได้ทราบด้วย นอกจากนั้น ในช่วงนี้ เขายังเคยไปเยือนยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอย่างเป็นทางการด้วย ในสภาครองเกรสที่ 110 หรือสภาปัจจุบันนั้น เขาก็ได้เรียกร้องให้มีการดูแลอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงหรือโลกร้อน การก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และให้การดูแลทหารผ่านศึกสหรัฐ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
โอบามาเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2008 ในระหว่างการหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 นั้น โอบามาได้ให้ความสำคัญเรื่องการยุติสงครามอิรัก พลังงาน และการประกันสุขภาพ ซึ่งเขาได้นำมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงชิงชัยตำแหน่งตัวแทนพรรคครั้งนี้ ปรากฏว่า เขาได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ หลังจากการเลือกตั้งไพรมารีเสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ในที่สุดนายโอบามา มีคะแนนคณะผู้แทนรวมเหนือกว่านางฮิลลารี คลินตัน นายโอบามาจึงประกาศชัยชนะ และเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมเครต เพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ด้านฮิลลารียอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
ชีวิตส่วนตัว
สมรสกับ มิแชล โรบินสัน (Michelle Robinson) หญิงชาวผิวดำเหมือนกันที่พบเจอกันในระหว่างเรียนกฎหมายที่ฮาร์เวิร์ด ในปี ค.ศ. 1992 ทั้งคู่มีบุตรสาว 2 คน คือ มาเรีย วัย 9 ขวบ และ ซาช่า วัย 6 ขวบเศษ
จากขวาไปซ้าย
บารัค โอบามา, น้องสาวของเขา
มายา โซโทโร ถัดไปเป็นแม่และตาของพวกเขาคือ
แอน ดันแฮม,
แสตนลีย์ ดันแฮม ถ่ายที่รัฐฮาวาย เมื่อต้นปี 1970
ชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน
โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมืองโฮโนลูลู มลรัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบาราก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ มลรัฐแคนซัส โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล เซโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตาจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาในปี 1979 หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ลอสแอนเจลิสที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล (Occidental College) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก สาขารัฐศาสตร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ชิคาโกในปี 1985 เพื่อรับงานเป็นผู้จัดการชุมชนแห่งหนึ่ง จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1988 โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโกเพื่อลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995
ช่วงปี 1993 และ 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิตาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้กับประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก ต่อมาในปี 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอร์ส
ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นผู้บรรยาย 4 ปี (1992-1996) และเป็นผู้บรรยายอาวุโสถึง 8 ปี (1996-2004)
โอบามา เคยเป็นสมาชิกสรรหาของบอร์ดบริหารแห่งองค์การพันธมิตรสาธารณะในปี 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่แบบสรรหาขององค์การพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้นปี 1993 และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น กองทุนไม้แห่งชิคาโก คณะกรรมการทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าง และศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป เป็นต้น
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐอิลลินอยส์, 1997-2004
โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ในปี 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ ปาล์มเมอร์ จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้กับแรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และบริจาคเงินเพื่อกองทุนเลี้ยงดูเด็กเล็ก
ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์อีกครั้งในปี 1998 และอีกครั้งหนึ่งในปี 2002 ส่วนในปี 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1
ในเดือนมกราคม ปี 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกานั้น ผู้แทนตำรวจนั้นให้เครดิตกับโอบามามากมายในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งในปี 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา
การหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004
กลางปี 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เดวิด แอกเซลรอด นักการเมืองผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองมานานได้ประกาศถอนตัว โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ปี 2003 หลังจากที่ ปีเตอร์ ฟิตซเกอรัลด์ ผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนจากพรรคริพับลิกัน และคาโรล โมเซลีย์ บรอน อดีตวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตตัดสินใจไม่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้กับผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของโอบามา และได้ความช่วยเหลือจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกในเวลาตามา ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกา ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์ ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งไพรแมรีเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งมลรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้
แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบไพรแมรีจากพรรครีพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004
เดือนกรกฎาคม ปี 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี 2004 ที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2มาในฐานะทหารผ่านศึก และประโยชน์ของ New Deal's FHA ตลอดจนร่างกฎหมายทหารจีไอ (G.I. Bill) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มหัวรุนแรงอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลายทางอารยธรรม โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า "ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษ์นิยมแค่นั้น แต่ที่นี่คือประเทศสหรัฐอเมริกา" ("There is not a liberal America and a conservative America; there's the United States of America.) สุนทรพจน์ส่วนนี้ สำนักข่าวใหญ่ๆได้มีการเผยแพร่ไปทั่ว ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอลามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง อลัน เคเยส ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านี้ เคเยสนั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ในมลรัฐแมรีแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในมลรัฐอิลลินอยส์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่เคเยสได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของมลรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียว
สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนมลรัฐอิลลินอยส์
โอบามาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005 เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่นๆต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย
ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐอเมริกาได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศในปี 2005-2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่"มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด" จากการโหวตในปี 2007 แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง"อนุรักษ์นิยม"กับ"เสรีนิยม" เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให้ผลโหวตออกมาไม่ตรงตามความจริงเท่าใดนัก
ด้านนิติบัญญัติ
โอบามาลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนโยบายพลังงานปี 2005 เนื่องจากสอดคล้องกับความสนใจของเขา โอบามารับหน้าที่สำคัญในการผลักดันให้วุฒิสภาพัฒนาความปลอดภัยตามแนวชายแดนและการปฏิรูปการอพยพข้ามประเทศ ในปี 2005 นั้น เขาสนับสนุน"ร่างกฎหมายความปลอดภัยของอเมริกาและการอพยพอย่างมีระเบียบ" ที่ร่างขึ้นโดย จอห์น แมคเคน สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนมลรัฐแอริโซนา จากพรรคริพับลิกัน ต่อมาเขาได้เพิ่มข้อแก้ไขสามจุดลงใน "ร่างกฎหมายปฏิรูปการอพยพทั่วไป" ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนกันยายน ปี 2006 นั้น โอบามาสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ร่างกฎหมายป้องกันความปลอดภัย ซึ่งมีโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและพัฒนาความปลอดภัยอ่นๆตามแนวชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก[ ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามรับรองยกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2006 โดยกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นก้าวกระโดดสำคัญในการปฏิรูปการอพยพข้ามแดนเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
ที่มา: