Advertisement
ยาปฏิชีวนะ เป็นยาซึ่งสกัดได้จากราพันธุ์ต่าง ๆ มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะมีหลายกลุ่ม ตัวอย่างเช่น กลุ่มเพนิซิลลิน อีรีโทรมัยซิน เตตราซัยคลิน คลอแรมเฟนิคอล สเตรปโตมัยซิน นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะยังรวมถึงยาที่สังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมี เช่น ยาประเภทซัลโฟนาไมด์ เป็นต้น
ยากลุ่มเพนิซิลลิน เป็นยาปฏิชีวนะที่ได้จากเชื้อราชนิดหนึ่ง ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ที่รู้จักกันทั่วไปได้แก่ เพนิซิลลิน จี เพนิซิลลิน วี และแอมพิซิลลิน อันตรายที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มเพนิซิลลินจะเป็นไปในรูปของการแพ้ยา ซึ่งอาการแพ้ยาจะพบในการใช้ยาแบบฉีดและแบบทามากกว่าแบบรับประทาน เพนิซิลลิน จี ใช้ได้ผลดีกับโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง โรคเจ็บคอ หนองใน ปอดบวม บากทะยัก ฯลฯ อาการแก้ที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นลมพิษ ผื่นคันตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หอบ ใจสั่น หน้ามืด บางคนอาจเกิดอาการช็อคได้ เพนิซิลลิน วี ใช้รักษาโรคติดเชื้อเช่นเดียวกับเพนิซิลลิน จี และอาการแพ้ก็เช่นเดียวกับเพนิซิลลิน จี คือ อาการลมพิษ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หอบ ใจสั่น หน้ามืด เป็นต้น การกินเพนิซิลลิน วี ต้องรับประทานตอนท้องว่างคือ ก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง
แอมพิซิลลิน ใช้รักษาโรคไข้รากสาดหรือไข้ทัยฟอยด์ คนไข้ที่มีประวัติแพ้เพนิซิลลินมาก่อน ห้ามใช้แอมพิซิลลินโดยเด็ดขาด อาการไม่พึงประสงค์เมื่อใช้แอมพิซิลลินคือ จะเกิดผื่นแดงตามตัวแต่ไม่คัน ไม่ต้องตกใจเพราะไม่ใช่อาการแพ้ยา ยาอีริโทรมัยซิน อีริโทรมัยซินสเตียเรต อีริโทรมัยซินเอสโตเลต เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคคอตีบ ไอกรนและใช้แทนเพนิซิลลิน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาเพนิซิลลิน เมื่อกินยากลุ่มนี้อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนและท้องเดิน ถ้าฉีดเข้ากล้ามเนื้อในรูปของอีริโทรมัยซินเอสเตเลต โดยใช้ติดต่อกันนานประมาณ 10-20 วัน อาจทำให้ตับอักเสบได้ ยาในกลุ่มเตตราซัยคลิน เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ได้ผลดีกับโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคปอดบวมในผู้ใหญ่ อหิวาต์ บาดแผลหรือฝีที่ผิวหนัง ริดสีดวงตา ฯลฯ ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ เตตราซัยคลิน คลอแรมเฟนิคอล ตอกซีซัยคลิน ไมโนซัยคลิน
ข้อแนะนำและข้อห้ามการใช้ยาในกลุ่มเตตราซัยคลิน
1. ต้องรับประทานหลังอาหาร อย่ารับประทานช่วงท้องว่างหรือก่อนอาหาร เพราะยามีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดคลื่นไส้อาเจียน 2. ห้ามรับประทานยานี้ร่วมกับนมหรือยาลดกรด เพราะจะทำให้ลดการดูดซึมของยา 3. ห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะจะทำให้กระดูกและฟันไม่เจริญและแข็งแรงเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังทำให้ฟันเป็นคราบสีเหลืองด่างดำไปตลอดชีวิต 4. หญิงมีครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้ เพราะยาสามารถผ่านเข้าไปสู่เด็กทำให้ความเจริญทางสมองลดลง อาจพิการ หรือสติปัญญาเสื่อม และยังไปยับยั้งการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันได้ 5. หากยาหมดอายุห้ามใช้โดยเด็ดขาด เพราะจะมีพิษต่อไป ยาหมดอายุสังเกตได้จากสีของยา หากหมดอายุจะเปลี่ยนจากสีเหลืองนวลเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เตตราซัยคลิน ใช้รักษาโรคปอดบวมในผู้ใหญ่อหิวาต์ บาดแผลหรือฝีที่ผิวหนัง ริดสีดวงตา เป็นต้น เตตราซัยคลินอาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาคือ เป็นผื่นคันและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังได้ง่ายเวลาถูกแสงแดด นอกจากนี้หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ยานี้ห้ามใช้กับเด็กในอายุต่ำกว่า 5 ปี หญิงมีครรภ์ และคนที่เป็นโรคตับ ข้อควรระมัดระวังอีกประการหนึ่งคือ ยาหมดอายุห้ามใช้เด็ดขาดเพราะเป็นอันตรายต่อไต
คลอแรมเฟนิคอล เป็นยาปฏิชีวนะประเภทหนึ่ง ใช้รักษาโรคไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย อาการแพ้ยาจะเกิดผื่นคันหรือมีไข้ได้ ข้อควรระวังห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับ ห้ามใช้ในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งตับยังไม่เจริญเต็มที่และห้ามใช้พร่ำเพรื่อ เพราะอาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางอะพลาสติก ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตได้
โรคโลหิตจางอะพลาสติก (Aplastic anemin) เป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่ง อาจเกิดได้จากการที่ไขกระดูกถูกทำลายโดยยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล หรืออาจเกิดได้เองโดยธรรมชาติก็ได้ เมื่อไขกระดูกถูกกดทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ผู้ป่วยจึงมีอาการทำให้การสร้างเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และทำให้เกล็ดเลือดน้อยลง ผู้ป่วยมีโอกาสเลือดออกได้ง่าย อาจรุนแรงถึงตายได้ในที่สุด
อาการ เกรย์ ซินโดรม (Gray syndrome) เป็นอาการที่เกิดในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งตับยังไม่เจริญเต็มที่แล้วได้รับยาคลอแรมเฟนิคอลเข้าไป ยานี้โดยมากจะถูกทำลายในตับ เมื่อตับเด็กทารกยังไม่เจริญจะเป็นผลให้มียาคับคั่งในเลือดจนเกิดเป็นพิษได้ เด็กจะมีอาการอาเจียน ตัวเขียวหรือซีดเป็นสีเทา ร่างกายอ่อนปวกเปียก ความดันต่ำและหมดสติอาจถึงตายได้
สเตรปโนมัยซิน เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้รักษาเชื้อวัณโรค และใช้ทำลายแบคทีเรียในลำไส้ ปัจจุบันนี้ความนิยมในการใช้ยาตัวนี้ลดน้อยลง เพราะปัญหาเรื่องเชื้อดื้อยา และเนื่องจากยาพวกนี้อาจทำให้เกิดอาการทางหูคือ เวียนหัว มึนงง และหูหนวกได้ (เนื่องจากยาไปทำลายเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8) และยังอาจเป็นพิษต่อไตได้ด้วย สำหรับอาการแพ้ยานั้น ผู้ใช้จะมีผื่นขึ้นตามผิวหนังและมีไข้
กานามัยซิน เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้รักษาเชื้อวัณโรคและหนองในและอาจใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินอาหารได้ มีฤทธิ์และอาการไม่พึงปรารถนาคล้ายกับสเตรปโตมัยซินและกานามัยซินคืออาจทำให้หูหนวกซึ่งโดยมากเป็นแล้วไม่หาย มีพิษต่อไตและอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานได้
หลักการใช้ยาปฏิชีวนะทั่วไป 1. ควรใช้ยาที่แพทย์หรือเภสัชกรเป็นผู้สั่งเท่านั้น อย่าซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เองโดยเด็ดขาด 2. ผู้ป่วยต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เช่น ให้รับประทานเวลาใดเป็นเวลากี่วันก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แม้ว่าโรคที่เป็นนั้นจะทุเลาแล้วก็ต้องใช้ยาให้หมดชุด 3. หากเกิดอาการแพ้ยา หรือมีอาการไม่พึงประสงค์อย่างใดให้ปรึกษาแพทย์อย่าทำตัวเป็นหมอเสียเอง
Advertisement
เปิดอ่าน 19,408 ครั้ง เปิดอ่าน 17,456 ครั้ง เปิดอ่าน 64,444 ครั้ง เปิดอ่าน 38,983 ครั้ง เปิดอ่าน 46,350 ครั้ง เปิดอ่าน 19,747 ครั้ง เปิดอ่าน 19,201 ครั้ง เปิดอ่าน 82,695 ครั้ง เปิดอ่าน 28,510 ครั้ง เปิดอ่าน 56,584 ครั้ง เปิดอ่าน 18,353 ครั้ง เปิดอ่าน 21,255 ครั้ง เปิดอ่าน 47,145 ครั้ง เปิดอ่าน 49,830 ครั้ง เปิดอ่าน 25,842 ครั้ง เปิดอ่าน 13,853 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 112,890 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 15,109 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 39,629 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 15,520 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 28,510 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 22,151 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 133,729 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 19,138 ครั้ง |
เปิดอ่าน 26,142 ครั้ง |
เปิดอ่าน 7,960 ครั้ง |
เปิดอ่าน 39,582 ครั้ง |
เปิดอ่าน 110,778 ครั้ง |
|
|