สรุปบทสุดท้ายของ นิทานเวตาล
เวตาลพยายามพูดยั่วเย้าต่างๆ นานา เพื่อให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์รับสั่งออกมา แต่พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็ทรงนิ่งเฉยดุจเดิม ยิ่งทำให้เวตาลรู้สึกแปลกใจเป็นที่สุด แล้วก็กล่าวชมว่า
"ฝ่าพระบาททรงตั้งใจดีแล้วนะพะยะค่ะ พระปัญญาล้ำลึกราวกับเทวดาและมนุษย์ที่มีปัญญารวมกัน จะหาผู้ใดมีปัญญาเสมอด้วยพระองค์หามิได้อีกแล้ว พะยะค่ะ หม่อมฉันขอถวายพระพร ให้ทรงพระเกษมสำราญด้วยผลของการที่ได้ทรงนิ่งในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ได้เคยทรงพยายามมาแล้วตั้งหลายหน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จแม้ครั้งเดียว
เอาล่ะ พะยะค่ะ หม่อมฉันจะไม่ทูลถามว่า การที่ทรงระงับความช่างรับสั่งนั้น เป็นไปด้วยความถ่อมพระองค์ หรือความสามารถที่จะคุมพระสติไว้ได้ หรืออาจเป็นเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาเสียแล้ว และการที่หม่อมฉันไม่ทูลถามในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะหม่อมฉันต้องการที่จะไว้พระพักตร์ของฝ่าบาท เพราะหม่อมฉันคาดว่าคำตอบจะต้องเป็นอย่างหลังนี้เป็นแน่"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ทรงกัดริมพระโอษฐ์จนรู้สึกเจ็บ เพื่อที่จะห้ามพระองค์เองมิให้ตรัสออกมา และแล้วก็ทรงห้ามไว้ได้
เวตาล จึงทูลต่อไปว่า
"หม่อมฉันรู้สึกสงสารพระองค์ ที่ต้องทนอัดอั้นตันพระทัย จึงยอมระงับความมุ่งหมายเดิมว่า จะทำให้พระองค์เดินย้อนกลับไปกลับมา จนหมดเรี่ยวแรงและสิ้นพระชนม์ลงในระหว่างทาง เพื่อหม่อมฉันจะได้เข้าสิงร่างของพระองค์ จะลองดูซิว่าจะมีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง แต่ครั้งนี้พระองค์ทรงระงับความช่างรับสั่งของพระองค์ได้ หม่อมฉันก็ขอถวายประโยชน์อย่างหนึ่งตามคำสัญญา แต่หม่อมฉันขอทูลถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า พระองค์จะทรงขยับย่ามออกสักนิดเพื่อให้หม่อมฉันได้หายใจสะดวกขึ้นกว่านี้ได้ไหมพะยะค่ะ"
พระธรรมธวัช ราชบุตร ทรงได้ยินดังนั้นก็กระตุกแขนเสื้อของบิดาแรงๆ เพื่อทรงเตือนให้รู้สึกพระองค์ มิให้ตรัสตอบแก่เวตาล
เวตาลเมื่อเห็นพระเจ้าวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นแน่ ก็ทูลต่อไปว่า
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นักรบ ฝ่าบาทจงทรงรำลึกนึกถึงคำของอสูรปัถพีบาลที่ได้ทูลเตือนไว้ว่า แม้ผู้ใดมุ่งจะฆ่าเอาชีวิตของฝ่าบาท ฝ่าบาทอาจตัดหัวผู้นั้นเสียก่อนโดยครองธรรม
และในกาลข้างหน้านี้พระองค์จงทรงปฏิบัติตามคำที่อสูรกล่าวนั้น เพราะพ่อค้าพลอยซึ่งได้ถวายทับทิมแก่ฝ่าบาทเป็นจำนวนมาก ก็คือคนคนเดียวกันกับ โคยีศานติศีล ซึ่งพระราชบิดาของฝ่าบาทได้กระทำเหตุให้โกรธ และอาฆาต หมายจะแก้แค้นเป็นเวรเป็นกรรมกันอยู่จนถึงบัดนี้
ส่วนหม่อมฉันเป็นบุตรของพ่อค้าน้ำมัน ซึ่งโยคีศานติศีลเกรงว่าหม่อมฉันจะทำการขัดขวางความเป็นใหญ่ในโลกของเขา จึงได้ฆ่าหม่อมฉันเสียด้วยอำนาจของตะบะ และพาศพของหม่อมฉันมาห้อยไว้ที่ต้นอโศก เพื่อเป็นเครื่องล่อลวงฝ่าบาท"
"โยคีศานติศีล นั้นได้ใช้ให้ฝ่าบาททรงมาปลดหม่อมฉันแบกไปให้แก่เขา และเมื่อฝ่าบาททรงทิ้งหม่อมฉันลงที่เท้าของเขาเมื่อใด โยคีศานติศีลก็จะพาฝ่าบาทไปบูชาที่หน้าเทวรูป และในขณะที่ฝ่าบาททรงก้มลงทำการบูชานั้น โยคีศานติศีลก็จะกระทำการปลงพระชนม์ทันที"
แล้ววิญญาณของบุตรพ่อค้าน้ำมัน ก็ลอยออกจากซากศพที่เรียกว่าเวตาล แต่ก่อนจะลอยหายไปบนท้องฟ้านั้น พลางกล่าวทูลสรรเสริญพระเจ้าวิกรมาทิตย์ และพระธรรมธวัชราชบุตร ว่า
"ขอจงทรงพระเจริญเถิดพะยะค่ะ การที่ฝ่าบาททรงยอมรับความโง่เขลา เบาพระปัญญา และทรงลดความมีทิฐิมานะลงได้ ถือเป็นคุณงามความดี ซึ่งถ้ามีอยู่ในตัวของใครแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุขที่สุดในโลก พะยะค่ะ"
เมื่อวิญญาณของบุตรพ่อค้าน้ำมันลอยหายไปแล้ว พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็จูงพระหัตถ์องค์ราชบุตรรีบทรงพระดำเนินไปให้ถึงป่าช้า เพื่อพบโยคีศานติศีล
ครั้นถึงแล้ว พระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นรอบๆ ตัวของโยคีศานติศีล มากมายไปด้วยซากศพ อสุรกายอันน่ากลัวทั้งหลาย พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็ทรงทิ้งย่ามลงตรงหน้าของโยคี โยคีก็แสดงความยินดี แล้วเอาเชื้อเพลิงใส่ลงไปในกะโหลกผี จุดไฟและเป่าจนลุกเป็นเปลวไฟใช้แทนโคมส่องทาง เพื่อนำพระเจ้าวิกรมาทิตย์และพระราชบุตรไปยังเทวรูป เป็นรูปหญิงกายดำ คอขาดจากตัว รูปร่างอัปลักษณ์ โดยหน้าเทวรูปนั้น ได้มีเครื่องบูชาต่างๆ ล้วนแต่มีกลิ่นคาวเลือดทั้งสิ้น
เมื่อโยคีศานติศีล พาทั้งสองพระองค์มาถึงหน้าเทวรูปแล้ว ก็กล่าวว่า
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระองค์ไดกระทำการตามสัญญาแล้วกับหม่อมฉัน และเพราะเหตุที่พระองค์ได้ทรงเสด็จมา ณ ที่นี้ พิธีของหม่อมฉันก็กำลังจะเสร็จตามที่คาดหมายเอาไว้ หม่อมฉันขอทูลเชิญพระองค์ทรงกระทำการเคารพเทวรูป เพื่อพระอำนาจและความเจริญจะมียั่งยืนยาวไปชั่วกาลนาน พะยะค่ะ"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ทรงฟังคำของโยคีศานติศีลแล้วก็ทรงรำลึกถึงคำพูดของเวตาล จึงรับสั่งแก่โยคีศานติศีลว่า
"ท่านโยคี เราเป็นเจ้าผู้ครองนคร ไม่เคยกระทำการบูชาเช่นนี้ ขอให้ท่านผู้เป็นอาจารย์ทำให้เราดูก่อน แล้วเราจะกระทำตามท่าน"
โยคีศานติศีล ผู้ฉลาดแต่ไม่เฉลียว ขุดหลุมดักพระเจ้าวิกรมาทิตย์ไว้ ก็ตกหลุมที่ตัวเองทำขึ้น ครั้นโยคีศานติศีล ก้มตัวลงทำการบูชาให้ดูเป็นตัวอย่าง พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็ชักพระแสงดาบออกฟันถูกศีรษะโยคีศานติศีล ขาดกระเด็นไป
ทันใดนั้นเทวรูปก็ล้มคว่ำลงมา พระราชบุตรทรงเหลือบเห็นเสียก่อนก็จับพระกรของพระราชบิดา เหนี่ยวกระชากจนสุดแรง จึงรอดพ้นจากองค์เทวรูปล้มทับไปได้
ในขณะนั้นก็มีเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นมาในอากาศ และคำอวยชัยให้พรจากฟ้า อีกทั้งดอกไม้ทิพย์ก็โปรยปรายตกหล่นไปทั่ว
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ก็ทรงยกศพบุตรพ่อค้าน้ำมันและศพของโยคีศานติศีลใส่เข้าในกองไฟ ทันใดนั้นก็เกิดมีภูตสองตนปรากฏอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ทรงตรัสว่า
"เมื่อข้าเรียกเจ้า เจ้าทั้งสองจงมาในทันที"
ภูตทั้งสองรับคำแล้วร่างนั้นก็อันตรธานหายไป พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็ทรงพาพระราชบุตรคืนกลับพระนคร และทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ชั่วกาลนาน