นิทานเวตาล
เรื่องที่ ๑๐
เมื่อพระเจ้าวิกรมาทิตย์ ทรงปลดเวตาลลงมาจากต้นอโศก แล้วรับสั่งให้เวตาลเล่านิทานต่อไป เวตาลก็ทูลขึ้นว่า
"วันนี้หม่อมฉันรู้สึกเขม่นตาซ้าย หัวใจก็เต้นแรง สายตาก็ไม่ดีมองอะไรดูมืดมัวไปหมด ไม่แจ่มใสเหมือนทุกๆ ครั้ง นับเป็นลางที่ไม่ดีเสียแล้วพะยะค่ะ แต่หม่อมฉันจะเล่านิทานถวายฝ่าบาทอีกสักเรื่องหนึ่ง"
ในครั้งโบราณกาลนั้น ยังมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อว่า "เมืองธรรมปุระ" เจ้าครองเมืองทรงพระนามว่า "ท้าวมหาพล" พระองค์ทรงมีพระมเหสีที่ยังคงความสาวและความงดงาม แม้พระธิดาจะทรงจำเริญวัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว พระมเหสีก็ยังคงคล้ายกับสาวรุ่น และถ้าจะเปรียบเทียบกับพระธิดาแล้ว ไม่ต่างอะไรกับพี่สาวและน้องสาวเลย ซึ่งความสาวของพระมเหสีนั้นเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายต่างพากันแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
อยู่ต่อมาไม่นาน เมืองธรรมปุระได้ถูกข้าศึกมาล้อมไว้ ข้าศึกมีกำลังและความชำนาญในการทำสงครามเป็นอย่างยิ่ง จึงตีเมืองจนแตก ฝ่ายท้าวมหาพลทรงได้ลอบพาพระมเหสีและพระธิดา เสด็จหนีออกจากรพะนครไปได้ในเวลากลางคืน ทั้งสามพระองค์เสด็จเล็ดลอดพ้นแนวข้าศึกแล้ว ก็ตั้งพระทัยหันพระพักตร์มุ่งไปยังเมืองเดิมของพระมเหสี
วันรุ่งขึ้น ท้าวมหาพลทรงนำพระมเหสีและพระธิดา เสด็จพระดำเนินถึงท้องทุ่งแห่งหนึ่ง ได้ทอดพระเหตุเห็นหมู่บ้านแต่ไกล หาทรงทราบไม่ว่าเป็นหมู่บ้านโจร แต่พระองค์ก็มิได้ทรงวางพระทัย จึงตรัสกับพระมเหสีว่า
"น้องกับลูกหญิงรออยู่ที่นี่อย่าเพิ่งเข้าไป หาที่กำบังตัวไว้ เดี๋ยวพี่จะเข้าตรวจตราเสียก่อน"
"เพคะ เสด็จพี่ทรงกลับมาเร็วๆ นะคะ หม่อมฉันและลูกเป็นห่วง"
พระมเหสีทรงรับสั่ง ท้าวมหาพลทรงพยักหน้ารับ แล้วทรงถืออาวุธเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อจะหาอาหารมาให้พระมเหสีและพระธิดา
ฝ่ายพวกชาวบ้าน ปกติก็ประพฤติตนเป็นโจร ครั้นเห็นชายแต่งตัวดี มีของมีค่าติดตัวมาเช่นนี้ ก็พากันออกมาทำการชิงทรัพย์ ท้าวมหาพลจึงทรงธนูยิงพวกโจรล้มตายไปไม่น้อย
เมื่อหัวหน้าโจรรู้ว่า ท้าวมหาพลได้ฆ่าพวกของตนล้มตายไปเช่นนั้น ก็เป่าสัญญาณเรียกพวกโจรออกมาอีกเป็นจำนวนมาก พระองค์ถูกล้อมทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ลง ณ ที่นั้น
ฝ่ายพระมเหสีและพระธิดา เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็ตกพระทัยจนพระองค์สั่น พากันค่อยๆ หลบหนีออกให้ห่างจากหมู่บ้านโจร ซึ่งทางที่จะไปจะเป็นทางไหนก็หาทราบไม่ ความมุ่งหมายมีอยู่แต่ว่าจะต้องหนีให้พ้น
ทั้งพระมเหสีและพระธิดาทรงมีพระกำลังน้อย แต่ด้วยอำนาจแห่งความกลัว ทั้งสองพระองค์ก็เสด็จหนีไปได้ไกลพอสมควร จึงหยุดพักประทับอยู่ใต้ร่มไม้ริมทาง
เผอิญขณะนั้น มีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "ท้าวจันทรเสน" เสด็จออกล่ายิงสัตว์ป่ากับองค์ราชบุตร กษัตริย์พ่อ-ลูกทั้งสองทรงม้าไปตามแนวป่า ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าหญิงสองคน ก็ทรงชักม้าหยุดดู ท้าวจันทรเสนทรงตรัสกับพระราชบุตรว่า
"แปลกจริง รอยเท้าคนทำไมถึงมาอยู่ในป่าแถบนี้"
พระราชบุตรทูลตอบว่า
"รอยเท้าเหล่านี้จะต้องเป็นรอยเท้าของผู้หญิงเป็นแน่ พระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อ ถ้าเป็นรอยเท้าผู้ชายคงจะโตกว่านี้" ท้าวจันทรเสน จึงทรงตรัสว่า
"ถ้าจะจริง แต่เอ...ทำไมจึงมีผู้หญิงกล้ามาเดินอยู่ในป่าได้ แต่ถ้าเราจะพูดไปตามตำราแล้วนะลูก หญิงที่พบในป่ามักจะงดงามกว่าหญิงที่หาได้ในกรุง มาเถิดลูก...เราทั้งสองคนจะตามนางไป ถ้าพบนางงามจริงอย่างที่ว่าไว้ เจ้าจงเลือกเอาไปเป็นคู่คนหนึ่ง"
พระราชบุตรทูลตอบว่า
"ขอเดชะ เสด็จพ่อ รอยเท้านั้นถ้าสังเกตดูดีๆ จะมีรอยเท้าหนึ่งที่ใหญ่กว่ากัน หม่อมฉันจะขอเลือกนางที่มีเท้าเล็กกว่ามาเป็นชายาของหม่อมฉัน เพราะนางคงจะเป็นสาวแรกรุ่นตามขนาดของเท้า ส่วนนางคนที่มีรอยเท้าค่อนข้างใหญ่กว่า ก็คงจะเป็นสาวใหญ่ ขอให้เสด็จพ่อทรงรับไว้เป็นมเหสีเถิดพระเจ้าค่ะ"
ท้าวจันทรเสน ทรงพระสรวลเบาๆ แล้วตรัสว่า
"ทำไมเจ้าพูดเช่นนั้นล่ะลูก พระราชมารดาของเจ้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ไปไม่นานนี้เอง" พระราชบุตรจึงทรงตอบว่า
"เสด็จพ่ออย่างทรงรับสั่งเช่นนั้นสิพระเจ้าค่ะ เพราะพระราชาที่ขาดพระมเหสีก็เปรียบเช่น บ้านที่ไม่มีคนดูแลนะพระเจ้าค่ะ"
ท้าวจันทรเสน ทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบพระราชบุตรว่า
"ถ้านางคนที่มีเท้าโตกว่า มีลักษณะเป็นที่พอใจของพ่อ พ่อจะทำตามที่เจ้าว่ามาแล้วกัน"
ครั้นกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ทรงทำสัญญาแบ่งนางกันดังกล่าวแล้ว ก็ทรงชักม้าไปตามรอยเท้าในป่า สักครู่หนึ่งก็ทอดพระเนตรเห็นนางทั้งสองนั่งพักอยู่ภายใต้ร่มไม้ ทั้งสองพระองค์จึงเดินเข้าไปหา แล้วทรงซักถาม พระมเหสีและพระธิดาก็ทรงเล่าเรื่องราวให้ทรงทราบโดยละเอียดทุกประการ
ท้าวจันทรเสนกับองค์ราชบุตร ก็เชิญเสด็จนางทั้งสองขึ้นหลังม้า โดยพระธิดามีพระบาทค่อนข้างโตกว่าให้เสด็จขึ้นทรงม้ากับท้าวจันทรเสน(พ่อ) ส่วนพระมเหสีนั้นทรงมีพระบาทเล็กกว่าพระธิดา ก็ขึ้นทรงม้ากับองค์ราชบุตร แล้วทั้งสี่พระองค์ก็เสด็จเข้าพระนคร
ต่อมาท้าวจันทรเสน กับ พระราชบุตร ก็ได้อภิเษกกับทั้งสองพระองค์ แต่สลับคู่กันไป เพราะเหตุว่าขนาดเท้าผิด คือ พระราชบิดา ทรงอภิเษกกับพระธิดา และพระราชบุตรทรงอภิเษกกับพระมเหสี
การกลับกลายเป็นว่า ลูกสาวกลายเป็นเมียพ่อ แม่กลายเป็นเมียลูก ลูกสาวเลยกลายเป็นแม่เลี้ยงของสามีแม่ตัวเอง และแม่กลับต้องกลายเป็นลูกสะใภ้ และต่อมาพระโอรสและพระธิดาก็เกิดจากนางทั้งสองต่อๆ ไป
เวตาลเล่าถวายมาเพียงเท่านี้ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า
"ขอเดชะ พระองค์คิดว่าพวกเขาจะนับญาติกันอย่างไรเล่าเพคะ"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ได้ทรงฟังปัญหาของเวตาลแล้ว ก็ทรงคิดไม่ออก แม่กับลูก ลูกกับพ่อ พี่กับน้อง โอย...พัวพันกันยุ่งไปหมด มิหนำซ้ำ แม่เลี้ยงก็คือลูกสาว ลูกสะใภ้กลับกลายเป็นแม่ ก็ทำให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ทรงตีปัญหาไม่ออก จึงทรงนิ่ง เวตาลก็คอยทูลยั่วเย้าให้ตอบปัญหาด้วยการกล่าวคำว่า "โง่" เพราะเวตาลทราบดีว่าพระเจ้าวิกรมาทิตย์มิทรงโปรดให้ใครมาดูถูก ว่าพระองค์โง่
เวลาผ่านไปชั่วครู่ เวตาลก็ทำกระแอม และกล่าวดูถูกพระเจ้าวิกรมาทิตย์
"ฝ่าพระบาททรงจนปัญญาแล้วเป็นแน่ เรื่องเพียงเท่านี้พระองค์ก็มิสามารถชี้แจงได้ เป็นธรรมดาของคนเบาปัญญา แต่...บางทีพระราชบุตรอาจจะทรงเฉลียวฉลาดกว่า คงจะพอตอบคำถามหม่อมฉันแทนพระองค์ได้"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ตีคำถามนี้ไม่ได้จริงๆ พระองค์จึงทรงนิ่งมิได้ตรัสตอบอะไร ไม่ช้าพระองค์จึงเกิดสติ คิดขึ้นมาได้ว่า
"ดีเลยที่เราคิดคำตอบไม่ออก เราจึงได้เงียบไม่เผลอตัวตอบปัญหาของมัน"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ จึงทรงบีบพระหัตถ์ของพระราชบุตรไว้แน่นเป็นเชิงห้ามมิให้ตอบคำถามของเวตาล พระธรรมธวัชราชบุตรก็ทรงนิ่งสนิท หาได้รับสั่งอะไรไม่
คราวนี้ เพราะความไม่รู้จริงๆ จึงทำให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ทรงเงียบไม่ตรัสตอบคำถาม เวตาลจึงเริ่มกระวนกระวายใจ.