ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

" คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด ? ปิด) ..."


เรื่องราวจากสมาชิก เปิดอ่าน : 7,168 ครั้ง
Advertisement

" คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด ? ปิด) ..."

Advertisement

❝ คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด ? ปิด) ... ❞

  บทความนี้เป็นบทความที่ดิฉันได้เขียนเพื่อเสนอความคิดเห็นเชิงวิชาการตอนเรียน ป.โท ค่ะ ลองอ่านและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมกันได้นะคะ...

" คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด – ปิด) ..."

ในเรื่องของการศึกษาในปัจจุบัน มีเรื่องที่ผู้เขียนให้ความสนใจอยู่หลายเรื่องแต่มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันและอยากที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ  การคัดคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  ผู้เขียนใช้คำว่าคัดคนเพราะว่ากระบวนการดูจะเป็นเช่นนั้นจริง  ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาในการคัดเลือกนักเรียน ม. 6 เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยของรัฐหรือที่เรียกกันว่ามหาวิทยาลัยปิดนั้น ดูจะมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้เขียนขอใช้คำนี้เพราะ ณ ตอนนั้นรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ  ต้องใช้ความสามารถของตนเอง  อ่านหนังสือ รวบรวมความรู้  ฝึกฝนข้อสอบและอีกหลายอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความภาคภูมิใจในการได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปิดชื่อดัง  ตั้งแต่ระบบเอนทรานซ์แบบเก่า จนถึงระบบ Admission  ในปัจจุบัน  สิ่งที่เหมือนกันก็คือลักษณะการคัดคนเข้าเรียนนั่นเอง  แต่ความรู้สึกแห่งการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความภาคภูมิใจนั้น เห็นจะไม่มีเท่าเทียมกับในสมัยก่อน  ดูจากอะไรนั้น  หากสังเกตให้ดีเราจะเห็นว่าในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปิดในอดีต คนที่ขวนขวายเข้าเรียนนั้นนอกจากจะเพื่อได้เรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดี ของรัฐบาลแล้ว  ยังมีปัจจัยในเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะการเรียนในมหาวิทยาลัยปิดย่อมเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามหาวิทยาลัยเปิดอยู่แล้ว  แต่จะเห็นได้ว่าในการปัจจุบันนั้น  การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปิดดูจะเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลง ที่กล่าวเช่นนี้เพราะในปัจจุบันมหาวิทยาลัยปิดทั้งหลายพยายามที่จะเปิดทางเข้าของมหาวิทยาลัยของตนเองให้กว้างขึ้นโดยกุญแจสำคัญในการไขประตูให้กว้างนั้นไม่ใช่ สิ่งอื่นใด นอกจากเงินนั่นเอง   จะเห็นได้ว่าบางมหาวิทยาลัยเปิดภาคสมทบ เปิดภาคอินเตอร์หรือ ภาคพิเศษต่าง ๆเพื่อรองรับความอยากของนักเรียน ม. 6 ที่มีความต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและตนเองมีความพร้อมในเรื่องของงบประมาณที่ใช้จ่าย  ด้วยเหตุนี้เองความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าจึงจางหายไปกับกระบวนการดังกล่าวแล้วนั้น   นอกจากนี้ในส่วนของการรับนักเรียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันใช้ระบบ  Admission หรือที่เรียกกันติดปากว่าใช้ คะแนน O-NET ,  A-NET   นั้น  ก็ยังไม่มีความกระจ่างและมีความเที่ยงพอ  จะเห็นได้ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนจากระบบเอนทรานซ์มาใช้ ระบบ Admission ในปี  2548 นั้นเกิดปัญหามากมายตามมา  และในปีถัดมาก็ยังมีปัญหาอยู่  และในปี ถัดไปก็เล็งเห็นว่าจะเกิดปัญหาเพิ่มเช่นกัน ทั้งในส่วนของการเพิ่มวิชาในการสอบ หรือ การปรับสัดส่วนของคะแนนสอบ   โดยหากเรามองที่ที่มาของระบบ การคัดคนเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันตามลำดับขั้น  เพื่อความกระจ่าง ก็จะเป็นดังต่อไปนี้

การรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของประเทศไทยนั้น  ได้มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ ในอดีตที่ผ่านมามหาวิทยาลัยได้ใช้ระบบการสอบคัดเลือกมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เนื่องจากสถานที่ศึกษาในระดับอุดมศึกษามีไม่เพียงพอแก่ความต้องการของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ต้องการจะศึกษาต่อ   มหาวิทยาลัยจึงเห็นว่าการสอบแข่งขันเพื่อเลือกเอาผู้ที่ได้คะแนนดี และมีคุณสมบัติประกอบอื่นๆ ที่เหมาะสมเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเป็นวิธีการที่ดีที่สุด  นอกจากนั้นยังได้รวมตัวกันพัฒนาให้มีระบบสอบกลางซึ่งดำเนินการในระดับประเทศ และต่อมาดำเนินการร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นระบบสอบคัดเลือกที่เชื่อมั่นกันมาเสมอว่า เป็นระบบที่เชื่อถือได้
                        หลังจากที่ระบบการสอบคัดเลือกดังกล่าวดำเนินสืบเนื่องมาเป็นเวลานาน ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งพัฒนาตัวตามมาเป็นลำดับ นั่นคือระบบการสอบคัดเลือกที่มุ่งวัดผลเพียงบางวิชาที่สถานศึกษาเห็นว่าจำเป็นสำหรับการศึกษาต่อในแต่ละสาขาวิชา ได้นำไปสู่สถานการณ์ที่นักเรียนมุ่งเรียนเฉพาะรายวิชาที่ต้องสอบเท่านั้น โดยนักเรียนส่วนมากจะไม่สนใจหรือละทิ้งรายวิชาที่ไม่ต้องใช้ในการสอบคัดเลือก ทั้งนี้ เพราะเป้าหมายของการเรียนในที่สุดคือการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยให้ได้ในสาขาที่ตนต้องการเท่านั้น ผลที่ตามมาคือเกิดความล้มเหลวของระบบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยผู้เรียนไม่ได้ผ่านการเรียนรู้ครบกระบวนการ ส่งผลถึงการพัฒนาคนที่ไม่สมบูรณ์   และด้วยเหตุนี้เอง  จึงเป็นเหตุผลให้นักการศึกษามีการปรับปรุงเพิ่มเติมขึ้นมาในระบบการสอบคัดเลือกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยการเปิดโอกาสให้มีการสอบได้ถึงปีละสองครั้ง ครั้งแรกในช่วงปิดภาคการศึกษากลางปีในเดือนตุลาคม ครั้งที่สอง เมื่อสิ้นปีการศึกษาแล้วในเดือนมีนาคม โดยผู้สมัครสามารถเลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุดจากการสอบทั้งสองครั้งมาใช้ในการสมัครเข้าศึกษา แต่อย่างไรก็ดีจากการที่ผู้สมัครสอบมักใช้ความพยายามโดยหวังผลที่ดีที่สุดทุกครั้งที่สอบ ทำให้การเปิดโอกาสมากครั้งดังกล่าวกลับส่งผลเสียในผู้สมัครสอบบางกลุ่มที่มักเห็นว่าเหตุที่ต้องสอบหลายครั้ง ทำให้เกิดแรงกดดันและความเครียดหลายครั้ง อีกทั้งในการสอบเดือนตุลาคมดำเนินการในขณะที่การเรียนการสอนชั้นมัธยมปีที่ 6 ยังไม่สำเร็จครบตามหลักสูตร ทำให้เกิดแนวโน้มที่โรงเรียนพยายามเร่งสอนให้จบก่อนเวลา เพื่อให้นักเรียนของตนมีความพร้อมด้านเนื้อหาสำหรับการสอบสูงที่สุด หรือไม่เช่นนั้นอีกด้านหนึ่งนักเรียนก็มุ่งกวดวิชาเพื่อให้ได้เนื้อหามากที่สุด ปัจจุบันนี้จึงปรากฏเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า การสอบเดือนตุลาคมเป็นเหตุให้เกิดผลเสียต่อระบบการเรียนการสอนตามปกติ   และจากข้อมูลที่ผู้เขียนได้ศึกษามาในส่วนของการปรับระบบจากการคัดคนเข้าเรียนแบบเดิมสู่การคัดแบบใหม่นั้น   เหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เพราะการพิจารณาของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.). ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ทบวงมหาวิทยาลัยเดิม) ได้ยึดหลักการแนวทางเพื่อกำหนดเป็นระบบใหม่ในการรับบุคคลเข้าศึกษาฯ ดังต่อไปนี้
                        1. ระบบใหม่จะต้องปรับเปลี่ยนจากระบบสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย (Entrance Examination) เป็นระบบการรับเข้า Admissions โดยพิจารณาจากผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษา และต้องเป็นระบบที่มีความยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้
                        2. การพิจารณาผลการเรียนเพื่อประโยชน์ในการรับเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา จะพิจารณาจาก การวัดผลด้วยวิธีการ และตามช่วงเวลาต่างๆ ที่กำหนดในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามกระบวนการปฏิรูปการศึกษา การพิจารณาผลการเรียนเป็นกิจกรรมทั้งในหลักสูตรและกิจกรรมประกอบดำเนินการโดยสถานศึกษา และสำนักทดสอบกลางแห่งชาติที่จะได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
                        3. หลีกเลี่ยงการสอบเพิ่มเติมโดยตั้งเป้าหมายว่า เมื่อผู้สำเร็จการศึกษาออกจากสถานศึกษาระดับ มัธยมศึกษา ก็จะมีข้อมูลเพียงพอแก่การพิจารณารับเข้าของมหาวิทยาลัย โดยไม่ต้องมีการจัดสอบคัดเลือกเพิ่มเติมเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือแม้หากมีการสอบเพิ่มเติมกำหนดให้ได้ไม่เกิน 3 รายวิชา
                        โดยจาการพิจารณาดังกล่าว  ก็ทำให้เกิดระบบการคัดคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปิด  แบบใหม่เกิดขึ้น  ผลการดำเนินงานนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีและผู้เขียนเองก็ได้แสดงความเห็นไปตอนต้นนี้แล้วเช่นกัน  จึงส่งผลให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือสัดส่วนของคะแนน  ในปัจจุบันออกมาเป็นลักษณะ รูปแบบแตกต่างกันไปตามรายปี   ดังนี้   

 

องค์ประกอบของระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา(Admission)

 

ปีการศึกษา

องค์ประกอบ

2549

2550

2551

ค่าน้ำหนัก

ค่าน้ำหนัก

ค่าน้ำหนัก

1. ผลการเรียนเฉลี่ยสะสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษา ตอนปลาย หรือเทียบเท่า (GPAX)

10%

10%

10%

2. ผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษา ตอนปลายตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ (GPA กลุ่มสาระ 3 - 5 กลุ่ม จาก 8 กลุ่ม)

20%

30%

40%

3. ผลการสอบทางศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test : O-NET)

35%-70%

60%

50%

4. ผลการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (Advanced National Educational Test : A-NET) และ/หรือ วิชาเฉพาะไม่เกิน 3 วิชา

0%-35%

60%

50%

           

 

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น  คงทำให้นักการศึกษาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสนใจที่จะติดตามต่อไปว่าระบบ Admission  จะนำพาระบบการคัดคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของไทยไปถึงจุดไหนกัน  ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันต่อไป

" คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด ปิด) ... "       ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าคุณภาพการศึกษาจะไม่เกิดเลยหากนักการศึกษา รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทั้งหลายไม่เปลี่ยนมุมมองในการมองการศึกษาของไทยให้มีมิติ มิใช่มองแต่เพียงระนาบด้านเดียว  เหมือนกับวงกลมหากเรามองแต่เพียงระนาบเราก็คงยากที่จะเข้าใจได้ว่า ณ จุดศูนย์กลางนั้นมีมุมภายในถึง   และภายในวงกลมนั้นสามารถบรรจุสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย  เพียงแต่มองว่ามันคือทรงกลมมีเรื่องหรือสิ่งต่างๆ มากมายที่จะบรรจุใส่ไปในทรงกลมแห่งการศึกษานี้ได้  และทรงกลมนี้สามารถหมุนและมองได้ในทุกมุมมองทั้งยังพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า  ทรงกลมนี้ก็จะเปรียบเหมือนโลกแห่งการศึกษาไทยที่พร้อมจะพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นเดียวกับโลกของเราที่หมุนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีวันหยุดนิ่งเช่นกัน

 

--------------------------------------------------------

 

 

 

โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 1829 วันที่ 19 ต.ค. 2551

หน้าหนาวแล้ว คุณครูสนใจไหม DoDo เก้าอี้แคมป์ปิ้ง รับน้ำหนักได้เยอะ พร้อมกระเป๋าจัดเก็บ โครงอลูมิเนียมรับน้ำหนักได้200KG ในราคา ฿189 - ฿509 ที่ Shopee

https://s.shopee.co.th/9pNuttuIUm?share_channel_code=6


" คุณภาพการศึกษา จากมัธยมศึกษาตอนปลาย สู่รั้วมหาวิทยาลัย (เปิด ? ปิด) ..."

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

นิทานเวตาล ....เรื่องที่ 11

นิทานเวตาล ....เรื่องที่ 11


เปิดอ่าน 7,164 ครั้ง
พิสูจน์น้ำผึ้ง

พิสูจน์น้ำผึ้ง


เปิดอ่าน 7,167 ครั้ง
เรื่องน่าเศร้าของคนสองคน

เรื่องน่าเศร้าของคนสองคน


เปิดอ่าน 7,169 ครั้ง
นม?..เป็นเหตุ

นม?..เป็นเหตุ


เปิดอ่าน 7,157 ครั้ง
ขำ ๆ ..ลองอ่านสิค่ะ..555++

ขำ ๆ ..ลองอ่านสิค่ะ..555++


เปิดอ่าน 7,158 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

 ขำ  ขำ..ก่อนเข้านอน***รวมภาพที่คุณเคย"คิดผิด"มาแล้ว คิดผิด อย่าลืมปิดไฟ

ขำ ขำ..ก่อนเข้านอน***รวมภาพที่คุณเคย"คิดผิด"มาแล้ว คิดผิด อย่าลืมปิดไฟ

เปิดอ่าน 7,173 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ...การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง
เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ...การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง
เปิดอ่าน 7,157 ☕ คลิกอ่านเลย

ยานติดหล่ม
ยานติดหล่ม
เปิดอ่าน 7,164 ☕ คลิกอ่านเลย

5 สิ่ง.. ...ถ้าอยากให้รักจืดชืด
5 สิ่ง.. ...ถ้าอยากให้รักจืดชืด
เปิดอ่าน 7,170 ☕ คลิกอ่านเลย

วลีต้องห้าม ....ถ้าไม่อยากเสียคนรัก!!
วลีต้องห้าม ....ถ้าไม่อยากเสียคนรัก!!
เปิดอ่าน 7,162 ☕ คลิกอ่านเลย

จริงหรือ.....น้ำ ไม่ได้ช่วยให้ผิวสวย
จริงหรือ.....น้ำ ไม่ได้ช่วยให้ผิวสวย
เปิดอ่าน 7,174 ☕ คลิกอ่านเลย

ขอขอบคุณความอิจฉา(ของคุณ)ที่ให้พลังแก่ชีวิต..
ขอขอบคุณความอิจฉา(ของคุณ)ที่ให้พลังแก่ชีวิต..
เปิดอ่าน 7,161 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

ตำนานกระต่ายในดวงจันทร์
ตำนานกระต่ายในดวงจันทร์
เปิดอ่าน 34,778 ครั้ง

เตือนภัย ระวังไวรัสบน Facebook กำลังระบาด
เตือนภัย ระวังไวรัสบน Facebook กำลังระบาด
เปิดอ่าน 17,725 ครั้ง

Minions Banana Song ที่กำลังฮิตกันทั่วโลก
Minions Banana Song ที่กำลังฮิตกันทั่วโลก
เปิดอ่าน 26,206 ครั้ง

ทำไมจึงไม่ควรให้ผู้ไม่มีใบประกอบอาชีพครูมีสิทธิสอบครูได้ : โดย รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ
ทำไมจึงไม่ควรให้ผู้ไม่มีใบประกอบอาชีพครูมีสิทธิสอบครูได้ : โดย รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ
เปิดอ่าน 68,342 ครั้ง

กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2555
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2555
เปิดอ่าน 34,833 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ