ปิดฉากชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเฒ่าชราผู้ทระนงวัย 108 ปี “ปู่เย็น” ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจากการเกิดอาการช็อกหมดสติอยู่ภายในเรือ ในช่วงสายของวันนี้ (12 ต.ค.)
เฒ่าชราคนนี้อาจจะไม่ได้เป็นนักร้อง ไม่ได้เป็นนักแสดง แต่เฒ่าชราคนนี้ก็เป็นดาราในหัวใจของใครต่อใครหลายๆ คน
ในหนังสือ ฅ คน ฉบับปฐมฤกษ์ ระบุชื่อจริงของปู่เย็นไว้ว่า “เย็น แก้วมะณี” อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 274/4 ถ.มาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี ในอดีตมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัว
ปู่เย็นชาวมุสลิม มีภรรยาเป็นไทยพุทธ ชื่อ “ย่าเอิบ” อยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครเปลี่ยนศาสนาโดยไม่มีลูกเพราะปู่เย็นเป็นหมัน แต่มีลูกสาวบุญธรรม 2 คน ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองเติบโตต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตน
ในวันที่ 16 มีนาคม 2536 ปู่เย็นก็ต้องมาสูญเสียภรรยาคู่ชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชายชราวัย 94 ในขณะนั้นต้องร้องไห้นานกว่า 3 เดือน
เมื่อไร้คนที่ตนรักปู่เย็นจึงตัดสินใจขนทรัพย์สมบัติไม่กี่ชิ้นไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ในน้ำที่ไม่มีทั้งเสา ไม่มีทั้งหลังคา หาเลี้ยงชีวิตด้วยการดักอวนหาปลา หากเหลือกินก็ขายในราคาถูกๆ ซึ่งหากใครจะเอาเงินให้ฟรีๆ จะทำให้ปู่เย็นรู้สึกโกรธ
หลังใช้ชีวิตมานานกว่า 10 ปี ชื่อของปู่เย็นก็ถูกเผยแพร่เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านรายการ “คนค้นฅน” ในตอนที่มีชื่อว่า “ปู่เย็น เฒ่าทระนง" ออกอากาศเมื่อคืนวันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 และอีก 2 ตอนต่อมา
ด้วยหลักการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจ มีแง่คิดมากมายโดยตั้งอยู่บนความเรียบง่าย-พอเพียง และความอารมณ์ดีนั่นเองที่ทำให้ชื่อของปู่เย็นเกิดเป็นกระแสโด่งดังเป็นอย่างมาก กระทั่งมีการเรียกร้องให้นำเอาเทปรายการดังกล่าวมาออกอากาศอีกครั้ง
“ดูแต่หอยสิ ไม่มีมือไม่มีตีน มันยังหากินได้เอง ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย...”
“ขายอย่าให้แพง คนเขาจะได้กินลง ฉันขายถูกๆ เอาไปเถอะ ซื้อไปแกงให้พอหม้อ...”
“มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน ไม่ขอใคร คนเราอดตาย หายาก ถ้าไม่เจ็บไม่ไข้นะ...”
“ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ พอสุดท้าย ก็ตาย...” ประโยคง่ายๆ เหล่านี้อาจจะไม่ใช่ปรัชญายิ่งใหญ่ที่เอาไว้ให้ใครต่อใครได้ท่องจำ แต่มันคือหลักที่ปู่เย็นใช้ในการดำเนินชีวิตบนเรือตลอดมา
23 มีนาคม 2548 ปู่เย็นได้รับพระมหากรุณาธิคุณเพื่อเข้ารับเรือพระราชทานต่อเบื้องพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นชื่อของปู่เย็นก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่น้ำเพชร และจังหวัดเพชรบุรีไปโดยปริยาย มีคนมากมายจากทั่วสารทิศมาเยี่ยมชนิดที่หัวบันไดสะพานลำไยไม่เคยแห้ง
จากการกลายเป็น “ดารา” นี้เองที่ทำให้หลายคนเกิดความเป็นห่วงว่าผลการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จากคนรอบข้างจะเกิดผลกระทบกับชายชราวัย 100 กว่าปีคนนี้ทั้งในเรื่องของสุขภาพ และรูปแบบการดำเนินชีวิต
เหมือนกับคำบอกกล่าวของปู่เย็นที่ว่า...ชีวิตคนนั้นเหมือนสะพาน มีขึ้นก็ต้องมีลง...ระยะหลังชื่อของปู่เย็นค่อยๆ เงียบหายไปตามกระแสธารกาลเวลา จะมีข่าวคราวบ้างเป็นครั้งคราวเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยทั้งกรณีเป็นฝีที่คอ ปอดติดเชื้อ รวมถึงอุบัติเหตุจากการหกล้ม
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ พ.ศ.2548 กระทั่ง พ.ศ.2551 ปู่เย็นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชายวัยชราคนนี้เป็น “ดารา” นอกจอตัวจริงเพียงใด เพราะห้วงเวลาที่ผ่านไปแม้สังคมและคนรอบข้างจะเปลี่ยนแปลง แต่ปู่เย็นก็ยังคงเป็นปู่เย็นคนเดิมผู้สมถะ ใช้ชีวิตด้วยการหาปลาตามเดิม ไม่อยากให้ใครมาสงสารหากมีแต่ความสงสารและเกรงใจคนอื่นๆ
“ไม่เอาง่ะ เกรงใจมัน...กินฟรีได้ แต่ไม่กิน เกรงใจ ไม่เอา อาย ของเขาซื้อเขาขาย ไหนต้องตัก ไหนต้องล้าง..." คือคำตอบที่ยืนยันถึงนิสัยส่วนตัวของเฒ่าชราคนนี้เกือบตลอดทุกครั้งที่มีใครหยิบยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในรูปของอาหารและเงินทอง
นับจากวันที่ภรรยาเสียชีวิต วันที่ 20 กันยายน 2551 ที่ผ่านมาน้ำตาแห่งความเสียใจของผู้เฒ่าคนนี้ต้องไหลนองหน้าอีกครั้งหลังเรือพระราชทานฯ ที่เปรียบเสมือนบ้านได้เกิดพลิกคว่ำจากพายุฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนัก
ค่ำคืนดังกล่าวแม้ตัวของปู่เย็นจะทุลักทุเลอยู่ในน้ำนานร่วมชั่วโมง แต่สิ่งเดียวที่แกห่วงก็หาใช่ชีวิตของตนเองไม่
“เรือ เรือมันจมแล้ว...” ปู่เย็นบอกเสียงสั่นตื่นตระหนกพร้อมกับใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
ตลอดช่วงเวลาที่เรือถูกนำไปซ่อมแซมโดยวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือพระนครศรีอยุธยานั้น ปู่เย็นมีอาการซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันคุ้นเคยในวันที่เจ้าตัวได้เรือดังกล่าวกลับคืนมาเมื่อ 1 ตุลาคม 2551
“จะตายบนเรือลำนี้แหละ...” เฒ่าวัย 108 ปี ลั่นไว้ก่อนกลับไปใช้ชีวิตในเรืออีกครั้ง
น่าเสียดายเหลือเกินที่วันนั้นได้มาถึงแล้วในวันนี้
...
หมายเหตุ - สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 2 แสนบาท เพื่อช่วยเหลือการจัดพิธีศพของ “ปู่เย็น” ที่จะถูกนำไปตั้งที่มัสยิดกลาง จ.เพชรบุรี ต.ท่าแร้ง อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี และจะทำพิธีละหมาดขอพร ฝังร่างในเวลา 10.00 น.ของวันพรุ่งนี้
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์