นิทานเวตาล
เรื่องที่ ๕
พระเจ้าวิกรมาทิตย์ ต้องทรงพระดำเนินกลับขึ้นไปเอาตัวเวตาลลงมาจากต้นอโศกอีกครั้ง
เสียงเล่านิทานของเวตาลนั้น ดุจมีเวทย์มนต์ทำให้เพลิดเพลินจนพระเจ้าวิกรมาทิตย์ หลงตอบคำถามเจ้าเวตาลมาหลายหน คราวนี้ทั้งสองพระองค์ทรงระมัดระวังตัวเป็นที่สุด และในระหว่างทางนั้นมีความเงียบสงบอยู่ได้ไม่นาน เวตาลก็เริ่มเล่านิทานอีก แล้วกล่าวว่าเป็นความจริงอีกเช่นเคย
"ขอเดชะ ข้าแต่พระราชาผู้ทรงคุณประเสริฐ ฝ่าบาททรงมีพระปัญญา ยากยิ่งกว่าผู้ใดจะเสมอเหมือนในโลกนี้ก็จริง แต่หมาซึ่งเป็นสัตว์สี่เท้ายังรู้พลาดและหกล้มเวลาเหยียบที่ลื่นฉันใด ผู้เป็นนักปราชญ์ แม้มีปัญญาสักเพียงใด..."
เวตาลพูดยังไม่ทันขาดคำ พระเจ้าวิกรมาทิตย์ก็ทรงจับย่าม กระชากแรงๆ เวตาลร้องครวญครางเหมือนดังเจ็บปวดมากเหลือเกิน
"โอ๊ยๆๆๆ"
แต่เพียงครู่เดียว เวตาลก็เล่านิทานต่อไปด้วยเสียงอันสดใสว่า
ณ เมืองมาลยะ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย มีเมืองๆ หนึ่ง ชื่อเมือง "จันทร์อุทัย" มีพระราชานามว่า "รันธีระ"
โดยพระองค์มีข้าราชบริพารคนหนึ่ง ชื่อว่า "คุณศังกร" ซึ่งรับราชการในตำแหน่ง "ธรรมมาธิการ" คอยสอดส่องดูแลความสงบสุขทั่วไปของประชาชน
คุณศังกรนั้นแตกต่างจากข้าราชบริพารทั่วไป เพราะเป็นคนฉลาด มีความยุติธรรม การตัดสินคดีในแต่ละครั้งจะเป็นไปด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีผู้มาติดสินบนมากมาย ซึ่งพอจะทำให้ครอบครัวอยู่สุขสบายไปทั้งชีวิต คุณศังกรก็ยังมิยอมรับ
ดังนั้นคนทั้งหลายในเมืองจันทร์อุทัย จึงพากันรักและเคารพนับถือคุณศังกรเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะเคารพนับถือเพียงใดก็ยังมิสามารถป้องกันการโจรกรรมทั้งหมดได้ จนประชาชนไม่รู้จะหาทางแก้ไขกันอย่างไร จึงรวมตัวกันไปร้องทุกข์ต่อคุณศังกร
คุณศังกรได้ฟัง ก็พาพวกพ่อค้าและชาวบ้านที่เป็นทุกข์เหล่านั้น เข้าเฝ้าพระเจ้ารันธีระ และบอกให้กราบถวายบังคมทูลให้ทรงทราบ
เมื่อพระเจ้ารันธีระทรงทราบ ก็ตรัสปลอบโยนเป็นอย่างดี พลางรับสั่งว่า
"พวกเจ้าจงวางใจเถิด คืนวันนี้ข้าจะจัดการอย่างใหม่ พวกเจ้าทั้งหลายต้องสิ้นความเดือดร้อนกันในคราวนี้แน่"
และในคืนนั้นเอง พระเจ้ารันธีระก็ทรงปลอมองค์แบบโจร เสด็จแอบออกไปนอกพระราชวังเพียงลำพัง แม้ผู้อยู่ใกล้ชิดก็มิอาจรู้ได้ พระองค์ทรงดำเนินไปตามถนนในพระนครอย่างช้าๆ ทันใดก็มีชายคนหนึ่งทะลึ่งลุกขึ้นมาจากที่มืด ซึ่งใช้กำบังร่างอยู่ แล้วร้องถามว่า "เฮ้ย นั่นใครวะ"
พระเจ้ารันธีระ รับสั่งตอบว่า "ข้าเอง เป็นโจร แล้วเอ็งล่ะเป็นใคร"
โจรก็ตอบว่า "ข้าเองก็เป็นโจร เหมือนเจ้านั่นแหละ มา...เอ็งกับข้าจงไปด้วยกันเถิด"
เจ้าโจรไม่มีท่าทีสงสัย ดังนั้นพระเจ้ารันธีระกับโจรก็พากันเดินไปตามทาง ได้พบพวกโจรซุ่มอยู่ตามท้องถนนเป็นอันมาก แต่พวกโจรเหล่านี้มีที่กำบังที่ดี หากเจ้าโจรไม่บอก พระเจ้ารันธีระก็ไม่มีวันรู้ได้เลย
ในไม่ช้า พระเจ้ารันธีระและโจรผู้เป็นสหาย ได้กระทำการโจรกรรมได้ทรัพย์สินมีค่ามาจำนวนมากแล้ว โจรจึงพูดกับพระเจ้ารันธีระว่า
"นี่แน่ะเกลอ ข้าได้ทรัพย์สินมากตามต้องการแล้ว ข้าจะกลับไปที่ซ่อนของข้าล่ะนะ"
พระเจ้ารันธีระ ทรงได้ยินดังนั้นก็แอบยินดีในพระทัย เพราะพระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องตามไปให้ถึงรังโจรพวกนี้ให้ได้ ดังนั้นพระองค์ทรงขอตามไปที่ซ่องโจรด้วย โจรก็ไม่นึกเอะใจในท่าทีของพระเจ้ารันธีระเลย เพราะพระองค์ทรงกระทำกิริยาทุกอย่างให้เหมือนพวกโจรมากที่สุด โจรจึงไม่ทันระวังตัว และชวนพระเจ้ารันธีระไปกินเลี้ยงสุรากันยังที่ของตน
ในระหว่างทาง พระเจ้ารันธีระทรงทอดพระเนตรเห็นรูหนูรูหนึ่ง พระองค์ทรงแสดงความยินดีทั้งคำพูดและอาการ เพราะการที่ได้พบรูหนูนั้น ตามประเพณีของโจรให้ถือว่าโชคดี เมื่อโจรเห็นเช่นนั้นก็พอใจ และยิ่งเชื่อสนิทใจว่าพระเจ้ารันธีระเป็นโจรจริงๆ จึงวางใจและสอนทำสัญญาณสำหรับเป็นรหัสผ่านประตูเข้าไปยังที่พักของโจร
เมื่อไปถึงป่าแห่งหนึ่ง พระเจ้ารันธีระกับสหายโจรก็พากันทำสัญญาณตามที่ได้ซ้อมกันไว้ ไม่นานก็มีคนถืออาวุธออกมาถามรหัสลับ ทั้งสองก็สามารถตอบได้แล้วพากันเดินผ่านเลยไป ซึ่งพีเจ้ารันธีระก็ทรงสังเกตและจดจำสัญญาณเหล่านั้นไว้จนหมด ทั้งยังทรงสังเกตทางเดินและทำเครื่องหมายไว้ทุกประการ
ครั้นเดินต่อไปไม่นานก็ถึงเชิงหน้าผา โจรก็เดินไปที่หน้าผาแล้วทำความเคารพ เสร็จแล้วเดินไปที่ว่างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้น เลิกหญ้าขึ้นก็เห็นฝาปิดปากหลุม โจรกับพระเจ้ารันธีระก็ช่วยกันเปิดฝานั้น จึงแลเห็นแสงสว่างอยู่ภายใน ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ด้านล่างอย่างสนุกสนาน
นายโจรชวนพระเจ้ารันธีระ ให้เดินตามลงไปในหลุม ครั้นพอถึงพื้นเบื้องล่าง พระเจ้ารันธีระก็ทอดพระเนตรเห็นเป็นห้องโถงใหญ่ มีคบไฟจุดปักไว้โดยทั่ว โจรพาพระเจ้ารันธีระไปยังห้อง ๆ หนึ่ง ที่ห้องนี้มีพวกโจรกำลังฉลองสุรากันอยู่เป็นจำนวนมาก
พระเจ้ารันธีระ ทอดพระเนตรเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีตำแหน่งเป็นกองตระเวร กลับเป็นโจรเสียเอง ก็ทรงถอนพระทัย และทรงทราบในทันทีว่า เหตุใดการโจรกรรมจึงไม่สงบลงได้เลย
ฝ่ายนายโจร ผู้ซึ่งพาพระเจ้ารันธีระเข้ามาในซ่องโจรนั้น ปรากฏว่าเป็นนายซ่องหัวหน้าโจรนี่เอง นายโจรจึงแนะนำให้พวกโจรทั้งหลายได้รู้จักกับโจรที่มาใหม่ แล้วซักถามถึงผลงานซึ่งกันและกัน สักครู่ก็พากันไปกินเลี้ยง ดื่มสุราฉลองกันอย่างสบาย
เวลาผ่านไปสองสามชั่วโมง คบไฟที่ติดอยู่เริ่มจะมอดลง ความง่วงเริ่มมาเยือนคนเหล่านั้น ต่างคนก็ต่างล้มตัวลงนอนระเกะระกะไปตามๆ กัน สักครู่ก็มีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง นางเป็นหญิงรับใช้ของพวกโจร ครั้นนางได้เข้ามาพบกับพระเจ้ารันธีระ นางก็ตกใจ เพราะจำได้ จึงทูลถามขึ้นว่า
"พระองค์เสด็จเข้ามาอยู่ในหมู่พวกโจรใจบาปหยาบช้าพวกนี้ได้ยังไงเพคะ พระองค์รีบเสด็จหนีไปโดยเร็วเถิด ถ้าไม่เช่นนั้นคนพวกนี้ตื่นขึ้นมา จะต้องฆ่าพระองค์แน่ๆ เลย เพคะ"
พระเจ้ารันธีระรีบพระดำเนินกลับพระราชวัง ตามคำเตือนของหญิงรับใช้ทันที
ครั้นเมื่อเสด็จกลับถึงวังแล้ว ก็ทรงเปลื้องเครื่องปลอมพระองค์ได้ไม่ทันไร พวกพ่อค้าในพระนครก็พากันมากราบบังคมทูลขอเข้าเฝ้าอีกครั้ง
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงความยุติธรรม เมื่อวานนี้เหล่าข้าพระบาท กราบทูลเรื่องโจรมาก่อความเดือนร้อน พระองค์ก็ได้ทรงเมตตาปลอบใจ และทรงสัญญาว่าจะกำจัดพวกโจรให้ได้ แต่เมื่อคืนนี้ พวกข้าพระบาทกลับต้องเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมากให้กับพวกโจรหนักกว่าเดิม พระเจ้าค่ะ" พระเจ้ารันธีระ จึงทรงรับสั่งกับพวกพ่อค้าว่า
"เอาเถอะ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง เราจะเอาทรัพย์สินกลับมาคืนให้พวกท่านให้ได้ และเราจะทำลายพวกมันให้สิ้นซากในเร็ววัน
ฝ่ายพวกโจรเหล่านั้น เห็นโจรคนใหม่หนีหลบไปตั้งแต่ตอนกลางคืน เที่ยวค้นหาก็ไม่พบตัว ก็รู้แน่ว่าอาจมีภัยมาถึงในคืนนี้แน่ นายโจรจึงรีบประชุมพวกสมุนโจร และจัดเตรียมอาวุธที่จะใช้ทำการต่อสู้
ครั้นพระจันทร์ขึ้น พวกโจรที่ซุ่มอยู่ก็มองเห็นพระเจ้ารันธีระ ทรงนำหน้าพวกทหาร และรีบเสด็จดำเนินโดยมิได้ระมัดระวัง เพราะพระองค์ทรงประมาทว่า พวกโจรคงจะไม่สงสัยและคงจะกำลังหลับเพราะการเลี้ยงสุรากันเหมือนอย่างเคย คราวนี้พระองค์ทรงแน่พระทัยว่าจะต้องจับโจรเหล่านั้นในถ้ำใต้ดินได้ เพราะความประมาทของพวกโจรเอง แต่กลับกลายเป็น พระเจ้ารันธีระเป็นผู้ประมาทเสียเอง
และเมื่อพระองค์ ทรงนำทหารไปถึงตรงบริเวณที่โจรแอบซุ่มอยู่นั้น นายโจรก็ปล่อยให้พวกทหารเดินถลำเข้าไปจนใกล้ แล้วจึงให้สัญญาณพวกที่ซุ่มรออยู่ ทันใดพวกโจรก็ขึ้นมาจากที่ซ่อนพร้อมกัน และได้เข้าโจมตีทหารวังโดยมิทันรู้ตัว ก็พากันแตกตื่นกระจัดกระจายพากันถอยหนีไม่เป็นกระบวน
ฝ่ายพระเจ้ารันธีระ ก็ชะงักทรงหยุดยืนประจันหน้ากับนายโจร แล้วทั้งสองก็ชักดาบออกต่อสู้กันเป็นสามารถ พระเจ้ารันธีระนั้นทรงชำนาญในเพลงดาบเป็นอย่างยิ่ง ส่วนนายโจรก็ชำนาญไม่แพ้พระองค์ทั้งสองต่อสู้กันอย่างรุนแรงและดุเดือด ต่างผลัดกันรุกและรับอยู่นาน จนกระทั่งนายโจรพลาดเหยียบก้อนหินจนล้มลง พระเจ้ารันธีระได้โอกาสก็ทรงจับนายโจรมัดมือไขว้หลัง แล้วทรงผลักไสให้นายโจรเดินเข้าสู่พระนคร โดยใช้พระแสงดาบจี้บังคับ ส่วนพวกสมุนโจร เมื่อเห็นนายของตนล้มลงก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไปจนหมดสิ้น
ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้ารันธีระรับสั่งให้คุมตัวนายโจรออกมาอาบน้ำชำระล้างร่างกาย แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี ให้ขึ้นนั่งบนหลังอูฐแล้วจูงตระเวนไปรอบๆ พระนคร โดยมีผู้ประกาศข่าวป่าวร้องประจานนำหน้าไปด้วยว่า
"ท่านทั้งหลายจงฟัง นี่เป็นพระราชโองการ โปรดฯให้เรามาประกาศป่าวร้องให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนคนนี้คือโจร ซึ่งลักลอบปล้นสะดมพวกเรา ขอให้ท่านทั้งหลายชวนกันมาประชุมในเย็นวันนี้ที่หน้าประตูเมืองด้านทะเล เพื่อจะได้รู้โทษของการประกอบกรรมชั่ว"
พระเจ้ารันธีระ โปรดฯ ให้ประหารชีวิตนายโจรด้วยวิธีเอาตัวขึ้นตีตะปูทั้งมือและเท้าให้กางออก สิ่งใดที่นายโจรอยากกินก็ป้อนให้กิน เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ทรมานต่อไปได้อีกนานๆ และเมื่อเห็นว่าใกล้จะตายก็ให้หลอมทองคำเทลงไปในคอ จนกว่าทองคำจะล้นแล้วแตกออกมาตามคอและส่วนอื่นๆ ของนายโจร
ครั้นได้เวลาเย็น ผู้คุมก็พานายโจรออกมาเพื่อจะนำไปประหารชีวิตตามรับสั่ง แต่ขบวนแห่ต้องเดินผ่านไปทางบ้านเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์สินมากมาย เศรษฐีมีบุตรสาวคนหนึ่ง เป็นที่รักและหวงเป็นที่สุด ชื่อ "นางโศภนี" แต่ท่านเศรษฐีมิยอมให้ชายใดได้แลเห็นบุตรสาวของเขาได้เลย แม้จะไปไหนมาไหน หรือจะออกนอกกำแพงสวนก็ลำบาก เนื่องจากแม่นมผู้ที่เคยเลี้ยงดูนางโศภนีมา และเป็นผู้ที่ชาวบ้านพากันนับถือว่าเป็นผู้ที่รอบรู้เหตุการณ์ในภายหน้าได้ดีนั้น เคยทำนายก่อนที่นางจะตายด้วยความชราว่า
"นางโศภนี จะเป็นหญิงงามที่คนทั่วพระนครจะชื่นชอบ แต่นางจะต้องฆ่าตัวตายเพราะคนที่นางหมายปอง"
นับตั้งแต่นั้นมา ท่านเศรษฐีก็คอยสอดส่องดูแลบุตรสาว มิให้ใครได้เห็น เว้นก็แต่นางคนรับใช้ส่วนตัวในบ้าน
อันมนุษย์นั้น จะหนีกฎแห่งกรรมไปไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ฉะนั้นในเย็นวันที่จะนำนายโจรไปประหารชีวิตเผอิญเพลิงไหม้ขึ้นในบ้านของท่านเศรษฐี ทางด้านที่เป็นที่อยู่ของพวกผู้หญิง เลยทำให้พวกผู้หญิงรวมทั้งนางโศภนีก็ต้องหนีออกจากห้อง มาพักรวมกันอยู่ที่ห้องที่อยู่ติดถนน และในถนนเวลานั้นมีผู้คนแน่นไปหมด มีเสียงพูดคุยไปตามทาง มีแต่คำกล่าวขานถึงแต่นายโจรที่ปล้นสะดมคนทั้งหลายในเมือง และมีรับสั่งจากรพะราชาให้ประหารชีวิตเสีย
ขณะนั้นนางโศภนีแอบดูอยู่ที่หน้าต่าง และเมื่อขบวนแห่นายโจรผ่านหน้าต่างไปนั้น ใบหน้าของนายโจรซึ่งขี่อูฐสูงเสมอกันกับใบหน้านางโศภนีพอดี นางจึงรีบวิ่งไปหาบิดา พลางพูดว่า
"ท่านพ่อ ท่านพ่อรีบไปขอเข้าเฝ้าพระราชาแล้วทูลขออภัยโทษให้ปล่อยนายโจรผู้นั้นเสียเถิด" "อะไรนะลูก" ท่านเศรษฐีตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาว แล้วพูดขึ้นว่า
"นั่นคือ หัวหน้าโจร ที่พระองค์ทรงจับตัวมาได้ และรับสั่งให้นำตัวไปประหาร แล้วพ่อสำคัญอย่างไรเล่าลูก ถึงจะได้มีหน้าเข้าไปขออภัยโทษให้แก่มัน"
นางโศภนี ได้ฟังบิดาพูดเช่นนั้น นางก็เป็นทุกข์เป็นร้อน และพยายามพูดอ้อนวอนบิดาว่า "ทรัพย์สินของเราก็มีมากมายนี่พ่อ ลูกเกิดรักนายโจรผู้นั้นเสียแล้ว"
ฝ่ายท่านเศรษฐี เมื่อเห็นลูกสาวมีอาการเช่นนั้นก็รู้แก่ใจนางว่า ถ้าไม่ได้ดังที่นางขอแล้วนางคงจะยอมตาย ตัวเองก็คงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นท่านเศรษฐีจึงรีบเข้าเฝ้าพระเจ้ารันธีระ ทูลขอด้วยสำเนียงอันสั่นพร่าด้วยความเศร้าว่า
"ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระองค์ขอถวายทรัพย์สินเป็นจำนวนสี่แสน เพื่อประทานอภัยโทษนายโจรให้หลุดพ้นจากพระราชอาญาครั้งนี้ พระเจ้าค่ะ" พระเจ้ารันธีระ รู้สึกแปลกพระทัย ทรงดำริว่า
"ไอ้โจรนั่นมันก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มาก ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วเมือง และมันยังทำลายทหารหลวงของข้าต้องล้มตายไปมากมาย ข้ามิสามารถปล่อยมันได้เป็นอันขาด เจ้าจงกลับไปเสียเถิด"
ท่านเศรษฐีได้ฟังรับสั่งเช่นนั้น ก็เห็นว่าจะทูลขอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่หยุดรำพันวิงวอนขอด้วยน้ำตาว่า "ถ้าตนทูลขอชีวิตนายโจรไม่ได้ บุตรสาวของตนก็จะฆ่าตัวตายตามนายโจรไปในครั้งนี้ด้วย ซึ่งตนก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้หากขาดบุตรสาว"
ถึงแม้ท่านเศรษฐีจะอ้อนวอน และกล่าวอย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ท่านเศรษฐีจึงร้องไห้กลับไปยังบ้านของตน แล้วเล่าความทุกอย่างให้บุตรสาวฟัง
"ลูกเอย พ่อได้พยายามทุกทางแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ พระราชาไม่ทรงโปรดฯ สิ่งที่เราถวายพระองค์ มาเถอะลูก เราจงไปตายด้วยกัน"
ฝ่ายพนักงานผู้คุมตัวนายโจรไปประหารนั้น ก็จัดการลงโทษตามพระราชกำหนด นายโจรทนรับโทษด้วยจิตใจอันเข้มแข็ง ไม่แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่เมื่อมีคนเล่าให้ฟังถึงนางโศภนี นายโจรกลับอดใจไว้ไม่ไหวก็ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ชั่วครู่นายโจรกลับหัวเราะด้วยเสียงอันดังราวกับอยู่ในงานฉลอง จนเสร็จสิ้นการประหารเสียงของนายโจรจึงเงียบลงไปทันใด
เมื่อนางโศภนีรู้ข่าวนายโจร นางก็เสียใจเป็นอันมาก และตั้งใจจะเผาตัวเองในกองเพลิงที่เผาศพชายผู้ซึ่งไม่ได้เป็นสามี และไม่เคยพูดคุยกันเลย
นางโศภนีจึงสั่งคนให้ขุดหลุมขึ้นหลุมหนึ่ง แล้วนำกิ่งไม้มาเรียงเป็นตาราง ใส่ฟืนและเชื้อเพลิง นางจึงนำเอาศพของนายโจรชโลมน้ำมันก่อนที่นางจะวางลงไปในหลุมนั้น นางโศภนีกล่าววิงวอนขอพร เทพเจ้า แล้วตนจึงลงไปนั่งบนตารางเชื้อเพลิงแล้วนางก็จุดไฟขึ้นเผานายโจรและตนเอง แต่เมื่อไฟได้ลุกขึ้นแล้วนั้น ผู้ใดจะเห็นร่างของนางขยับเขยื้อนก็ไม่มี
เมื่อบุตรสาวต้องมอดไหม้ตายไปในกองเพลิงแล้ว ท่านเศรษฐีร้องไห้น้ำตาปานจะเป็นสายเลือด ไม่นานท่านเศรษฐีก็ฆ่าตัวตายตามบุตรสาวไปด้วยการเชือดคอ
เวตาลหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พระธรรมธวัชราชบุตร ทรงเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ก็ทูลถามพระราชบิดาว่า
"เสด็จพ่อ นายโจรจะตายแล้วยังหัวเราะเสียงลั่น ด้วยเหตุอันใดพระเจ้าค่ะ"
พระเจ้าวิกรมาทิตย์เห็นราชบุตรสงสัย พระองค์จึงตอบไปว่า
"ก็หัวเราะในความบ้าเหลือเกิน ของนางโศภนีนั่นไงลูก"
เวตาลได้ยินก็หัวเราะออกมา พลางพูดว่า
"หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท พะยะค่ะ ที่ทรงปล่อยหม่อมฉันออกจากย่ามอันคับแคบอีกครั้ง คำถามที่พระราชบุตรถามนี่แหละเป็นคำถามที่หม่อมฉันกำลังจะถามพระองค์อยู่พอดี พะยะค่ะ แต่ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็ยังผิดอยู่ดี เพราะนายโจรร้องไห้เนื่องจากมองไม่เห็นช่องทางใดที่จะตอบแทนน้ำใจของนางโศภนี และที่นายโจรหัวเราะนั่นเป็นเพราะนายโจรคิดถึงความไม่เท่ากันของมนุษย์ต่างหาก ฮะ ฮะ ฮะ ทูลลาทีล่ะพะยะค่ะ"
ครั้งนี้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ทรงรู้แล้วว่า เวตาลขี้โกง จะหนีไปดื้อๆจึงปลดย่ามออกจากพระอังสา แล้วเอาลงมาไว้ที่พระกรและทรงหนีบไว้แน่น แต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะเวตาลหลุดออกจากย่ามได้โดยง่ายดายอีกตามเคย และลอยตัวหัวเราะก้องฟ้ากลับไปยังต้นอโศกตามเดิม