มีคนเคยถามผมว่า "จริงหรือที่อยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้วจะรักกันเอง" คำถามทำให้ผมเห็นภาพของคนสองคนที่ตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยเหตุผลอื่นที่มิใช่ความรัก
เมื่อก่อนเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนคนเรียกกันติดปากว่า "คลุมถุงชน" เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เห็นหน้ากันแล้วต้องมาแต่งงานกันด้วยความต้องการของผู้ใหญ่ แต่ในสมัยนี้ สมัยที่สิทธิมนุษยชนกลายเป็นเกณฑ์วัดความเป็นคนทันสมัย การ "คลุมถุงชน" ก็เลยกลายเป็นกิจกรรมที่น่ารังเกียจไปเสียแล้ว เราจึงไม่เห็นพิธีการเช่นนั้นอีกเลย อาจเป็นข้อดีที่มนุษย์จะได้ใช้หัวใจและความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่ในการเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนเสมอไปหรอก...
เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง "แป๊ป" เป็นเพื่อนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่แต่งงานไวที่สุดในกลุ่ม เพื่อนหลายคนเสียดายหน้าตาอันหล่อเหลา และพื้นฐานทางครอบครัวที่มั่นคงมาก ใครหลายคนเปรยกับผมว่า "ไอ้แป๊ปมันโง่หรือเปล่าวะ" แทนที่แป๊ปจะเลือกใช้ชีวิตโสดที่ห้อมล้อมด้วยหญิงสาวน่ารักๆ ดังที่เคยทำให้เพื่อนหลายคนอิจฉาตาร้อน แต่เขากลับเลือกที่จะปิดตายความเจ้าชู้ประตูดิน แล้วเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่หน้าที่ของเพื่อนก็มีแค่นี้เอง คือ "ยอมรับในการตัดสินใจ" และ "ให้กำลังใจในวันที่ผิดพลาด"
หลังงานแต่งของแป๊ป ผมมาทราบเหตุผลที่เขาตัดติดสินใจแต่งงานจากเพื่อนคนหนึ่งว่า ที่บ้านของแป๊ปทำธุรกิจเกี่ยวกับปางไม้อยู่ที่จังหวัดหนองคาย นั่นทำให้ต้องนำเข้าวัตถุดิบมาจากประเทศลาว ที่บ้านของแป๊ปจึงได้รู้จักนายพลคนหนึ่งของที่นั่น!
พอดีนายพลท่านนั้นมีลูกสาววัยเท่ากับแป๊ป การคลุมถุงชนเพื่อธุรกิจจึงเกิดขึ้นหลังจากการหารือของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เมื่อได้รับรู้ผมก็เกิดข้อสงสัย จึงถามเพื่อนกลับไปว่า "เฮ้ย...แล้วมันจะไปกันรอดเหรอ" เพื่อนผมส่ายหน้า ก่อนจะตอบว่า... "ก็ต้องรอดูต่อไปว่าเพื่อนเรามันจะ "อยู่ทน" หรือ "ทนอยู่" กัน"
หลังจากที่ห่างหายกันไปกว่าครึ่งปี ด้วยวัยที่มากขึ้นทุกวัน เพื่อนๆ จึงรวมตัวกันเพื่อสร้างทีมฟุตบอลเอาไว้สำหรับออกกำลังกาย นั่นทำให้ในวันที่ต้องลงสนามแข่งขันผมจึงได้เจอกับแป๊ปอีกครั้ง
วันนั้นแป๊ปมาคนเดียว หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ผมจึงถามถึงภรรยาของเขา "ต้าร์กลับไปเยี่ยมบ้านที่เวียงจันทร์"แป๊ปตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ ผลการแข่งขันในวันนั้นทีมของเราแพ้อย่างราบคาบ แต่กระนั้นแป๊ปก็ยิงไปได้ถึง 3 ประตู ส่วนผมหมดแรงตั้งแต่ 10 นาทีแรกแล้ว ตกค่ำเราพากันไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารเจ้าประจำ พอเริ่มดื่มกันได้ที่ เพื่อนบางคนเริ่มแซวแป๊ปถึงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง "เฮ้ย...มีเด็กเหรอ เดี๋ยวบอกต้าร์นะ" แป๊ปเพียงยิ้มแล้วขอตัวไปรับโทรศัพท์ ด้วยความที่มีคติประจำใจว่า "เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา" ผมจึงหาโอกาสสะกิดถามแป๊ปว่า "ใคร"
"ต้าร์เขาเป็นห่วง...พอดีโทรไปบ่นว่าเตะบอลจนปวดขา" แป๊ปตอบอย่างเขินๆ ตามด้วยคำบอกเล่าจากเพื่อนอีกคนที่ทำให้แป๊ปหน้าแดงระเรื่อ "เมื่อกี้มันเพิ่งบ่นอยู่ว่าคิดถึงเมีย...อยากให้เมียมาเชียร์ที่สนาม"...เมื่อได้ยิน เพื่อนๆ พากันปรบมือชอบใจที่เสือร้ายอย่างแป๊ปได้สิ้นลายเสียแล้ว
เรื่องราวที่ผมเล่ามาข้างต้นนั้น อาจจะไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์นักต่อคำถามที่ว่า "จริงหรือที่อยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้วจะรักกันเอง"
แต่มันก็ทำให้เข้าใจได้ว่า..."หัวใจ" อาจเป็นตัวสร้างความรู้สึก "รัก"
แต่จะยืนยาวหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ "ความผูกพัน" ที่คนสองคนมีให้กัน
ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ "แป๊ปกับต้าร์" ซึ่งถูกจับคลุมถุงชนจะมี "รักที่ยืนยง"
ต่างจากใครหลายคนที่ "รักอย่างสมัครใจ" แต่สุดท้ายก็เหลือเพียง "น้ำตา"