ความหลงตนและการถือตัวนั้น มีลักษณะสำคัญ คือให้ความสำคัญในตนเป็นใหญ่ ความถือตัวมาจากกเหตุปัจจัยในตนเอง คิดเองเป็นเองแต่แสดงให้คนอื่นเห็น ความหลงตนมาจากเหตุจากคนอื่น ที่เห็นชัด คือคำยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น ยกย่องมากหากเราคิดว่าเรามีอำนาจจริง จะทำให้เราเหิมเกริมในอำนาจ การบ้าอำนาจหากจะเกิดขึ้นกับเราได้นั้นอาจมีทั้งลักษณะหลงตนและการถือตัวผสมกันอยู่ เช่นถ้าเกิดจากความถือตัวเป็นการที่ตนเองสถานปนาอุปโลกน์ ว่าเรามีอำนาจ ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้จากสังคมไซเบอร์ หรือเกิดกับสัมคมออนไลน์อินเตอร์เน็ต ส่วนความหลงตนอาจจะมาจากการใช้ชีวิตจริงหรือโลกไซเบอร์ก็ได้
หากเราเพิ่มความเข้มข้นของการหลงตนและการถือตัวให้มากขึ้น อาจพัฒนาไปสู่ความหลงผิดคิดว่าตนเองมีอำนาจ ถือว่าเป็นอุปทานลักษณะหนึ่ง บางครั้งเมื่อเราคิดว่ามีอำนาจแล้วใช้อำนาจไปด้วยความบ้า เรียกว่าบ้าอำนาจ อาจทำให้เกิดความแค้นเคืองจากผู้ที่เราไปแสดงอำนาจบาทใหญ่ใส่เขา ในสังคมนอกเหนือการฆ่ากันตายด้วยการขัดผลประโยชน์ เพราะผลประโยชน์ขัดกันแล้ว อีกอย่างการแค้นเคืองจากการถูกกดขี่อาจจนำมาซึ่งความแค้นได้ หรือแม้แต่เราคิดว่าเรามีอำนาจ เราก็หลงอำนาจไปฆ่าผู้ที่ไม่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจเราได้
การแสวงหาอำนาจ จึงเท่ากับการที่เราแสวงหาการถูกฆ่าตายจากคนอื่น และเป็นการแสวงหาการฆ่าผู้อื่นให้ตายด้วยความบ้า ไม่ว่าจะฆ่าคนอื่นหรือถูกคนอื่นฆ่า ย่อมเป็นผลไม่ดีต่อตนเอง โดยธรรมชาติของผู้แสวงหาอำนาจย่อมเป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว ผู้แสวงหาอำนาจแล้วอยากมีอำนาจจึงเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวตามธรรมชาติ ผู้แสวงหาอำนาจเมื่อได้อำนาจมาแล้ว อำนาจที่ได้มาไม่ใช่อำนาจที่แท้จริง อำนาจที่มีจึงนำความทุกข์มาสู่ตนอย่างแสนสาหัส เช่นเมื่อมีอำนาจแล้วคิดจะใช้อำนาจ ผู้ใช้อำนาจนั้นจะเป็นผู้ใชฃ้ความรุนแรง ไม่ว่าความรุนแรงระดับอ่อน ๆ จนแทบจะไม่รู้สึก พัฒนาระดับขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นสูงสุดคือฆ่ากันตาย
ดังนั้นผู้มีอำนาจจึงต้องฝึกใช้เมตตาให้เป็นธรรมชาติ ยิ่งเมตตาต่อผู้ใดเท่าไร สมมุติผู้นั้นกระทำผิดขึ้น ยิ่งเราเมตตาด้วยความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าไร ผลอันเป็นบาปจะตกถึงผู้กระทำผิดนั้นเร็วขึ้นเท่านั้น ยกเว้นเราจะดึงให้ส่งผลช้าลงด้วยการอโหสิกรรม หากเราตอบโต้ผู้กระทำผิดด้วยการลงโทษ เท่ากับเรากับผู้ใต้อำนาจก็สร้างบาปกรรมซึงกันและกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีวันจบสิ้น อาจทำให้เกิดผลเช่น ชาตินี้เรามีอำนาจใช้อำนาจบาทใหญ่ใส่เขา ชาติหน้าเรากับเขาเกิดมาอีก เขาก็จะมีอำนาจเหนือเราแล้วใช้อำนาจบาทใหญ่ตอบโต้กันไปมา มีลักษณะเหมือนผลัดกันต่อยมวยแลกกันคนละหมัด สวนกันไปสวนกันมาหมัดต่อหมัดไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบสิ้น
ในทางกลับกันเมื่อเรามีอำนาจแล้วเราใช้เมตตาแทนอำนาจ อำนาจยิ่งสูงต้องยิ่งต้องมีเมตตายิ่งขึ้น นั่นหมายความว่าเมตตาที่เพิ่มขึ้นต้องใช้ขันติที่เพิ่มขึ้นด้วย หากเมตตาของเราเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ยิ่ง จะทำให้ผู้ใต้อำนาจอาจเปลี่ยนความคิดที่จะกระทำความผิด กลายเป็นความสำนึกผิด เกิดหิริโอตปะชขึ้นในใจเขาได้ ผลนี้อาจจะเกิดขึ้นช้าหรือเกิดขึ้นเร็วก็ได้ ขึ้นอยู่กับความมีน้ำอดน้ำทนของเรา หากแต่เราไม่อยากใช้ความอดทนสูงเช่นนี้ ให้เราลงมือปฏิบัติธรรมแล้วหันไปอดทนต่อแรงบีบคั้นที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อเราลงมือปฏิบัติธรรม จะส่งผลต่อเราดีกว่าการที่จะทำให้เราใช้ความอดทนในการสร้างความเมตตาเพียงอย่างเดียว
การอยากมีอำนาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการต้องการให้คนอื่นยอมรับในตนเอง เพราะวัฒนะธรรมไทยปลูกฝังให้ยอมรับผู้มีอำนาจอยู่แล้ว เช่นขยันหมั่นเพียรมาก ๆ เรียนจบจะได้จบออกมาทำงานเป็นเจ้าคนนายคน เมื่อสังคมถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมเช่นนี้ ทำให้เกิดการใฝ่ฝันและกระหายอำนาจเกิดขึ้น เมือมีอำนาจก็ใช้อำนาจไปแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ค่านิยมเช่นนี้ทำให้คุณธรรม ศีลธรรมเสื่อมลง เพราะผู้กระหายอำนาจจะดิ้นรนแสวงหาอำนาจโดยไม่สนใจว่าอำนาจที่ได้มาไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือไม่ เมื่อผู้แสวงหาอำนาจสร้างกรรมโดยการสร้างความเดือดร้อนโดยเจตนาเป็นเบื้องตน ผู้มีอำนาจทุกคนที่ก่อกรรมเช่นนี้ย่อมได้รับผลวิบาปบาปทันตา เช่นก่อนตายเป็นโรคป่วยทรมานเป็นปี แล้วตายจากโลกนี้ไปด้วยความทรมานยิ่ง