ความหลงตนและการถือตัวนั้นเป็นต้นตอที่สำคัญทำให้เกิดอุปทาน เมื่อเรามีอุปทานทำให้เราขาดความยืดหยุ่นในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่ฟังความแล้วเชื่อถือในสิ่งที่รู้เห็นทันที โดยเฉพาะผู้ที่รับรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยการพิสูจน์ทราบเพียงการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นหลัก ซึ่งเป็นการรับรู้เพียงด้านเดียว แต่ถ้าจะให้ครบทุกด้านต้องฝึกการรับรู้ในประสาทสัมผัสที่ 6 ให้แก่กล้าขึ้นด้วย จึงจะถือว่าเป็นการฟังความทั้ง 2 ด้าน หรือแม้แต่การฝึกให้มีแต่ประสาทสัมผัสที่ 6 โดยปฏิเสธการมีอยู่จริงของสัมผัสที่ 5 ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ การใช้การรับรู้จากประสาทสัมผัสด้านใดด้านหนึงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมเป็นไปไม่ได้
ความถือตัวอันมีมหาศาลของมนุษย์เกิดจากความอยากเอาตัวรอดของเราแต่ละคน ความเกรงกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น หรือเกิดจากความกังวล ความถือตัวจึงแฝงไปด้วยความกังวลเสมอ เช่นจะดีหรือ หรือแม้แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนโดยฉีกกฎการรับรู้จากตำราทั้งมวล ทั้งนี้เพราะเราทั้งหลายไม่ได้นำหลักธรรมหรือเข้าใจหลักธรรมว่าด้วยเรื่องเจตนาอย่างถ่องแท้ เมื่อเราต่างไม่เข้าใจเรื่อสัจธรรมที่ว่าด้วยเรื่องของเจตนา จึงทำให้แต่ละคนเกิดความกังวลขึ้นมา เมื่อเกิดความกังวลขึ้นหากจะทำสิ่งใดก็ตามที่ขัดกับสิ่งที่เรารู้มาแต่เดิมจึงเกิดความกลัวขึ้น กลัวผิด กลัวอันตราย ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ล้านเป็นการขัดขวางการสร้างปัญญาโดยเฉพาะสัมมาปัญญาให้เกิดขึ้นกับเรา นี่จึงเป็นบทพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า ใครก็ตามที่รู้ธรรมะที่เป็นสัจธรรมมากย่อมได้เปรียบ วิธีการเอาชนะความโง่จากการถือตัวนั้นให้เริ่มฝึกจาก ให้เราเริมคิดว่าก็เราตั้งใจจะทำอย่างไรเราก็ได้อย่างนั้น ในเมือผลที่จะเกิดกับเราย่อมมาจากความตั้งใจของเรา คนอื่นไม่มีผลที่จะมาบังคับความตั้งใจของเราได้ ปรับความคิดของเราให้ค่อย ๆ สร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นในใจของเราให้ได้ ในเมื่อผู้ตั้งใจทำอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น หากเราบริสุทธิ์ใจจริงจะไปกลัวคำตำหนิ ติฉินนินทา จากผู้อื่นในสังคมทำไม คนที่กลัวว่าคนอื่นจะตำหนิ ติฉินนินทา ให้ร้ายเรานั้นแสดงว่าคนนั้นไม่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ ค่อย ๆ ฝึกและปลูกฝังความคิดเช่นนี้ให้เกิดขึ้นในใจเราให้ได้ เมื่อเราทำได้เราก็จะเอาชนะความโง่จากการถือตัวได้
เมื่อเราเอาชนะความโง่ได้ความฉลาดก็เกิด ความฉลาดเกิดก็เป็นช่องทางที่ทำให้ตนพ้นทุกข์ได้ เช่นผู้เขียนทำเว็บผู้ขียนก็มีแต่ได้กับได้ ได้ตรงที่ผู้เขียนได้นำประสบการณ์ตรงและเป็นจริงออกมาเล่า ถึงแม้ผู้เขียนจะไม่หวังว่าจะให้เกิดกุศลแก่ตนเองก็ตาม แต่ด้วยเจตนาที่จะให้ผู้อ่านได้นำประสบการณ์จากผู้เขียนไปใช้ประโยชน์ต่อตนเองอย่างแท้จริง ผู้เขียนย่อมต้องได้ในกุศลผลบุญนั้นจากการให้ธรรมะเป็นทาน ส่วนผู้อ่านท่านใด มัวแต่มาวิพากษ์วิจารณ์การเขียนของผู้เขียนแล้วไม่รีบเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้เขียนยื่นให้ เช่นบางคนอาจจะคิดว่าผู้เขียนโม้ อวดอุตริ ตีตนเสมอพระพุทธเจ้า ฯลฯ อันนั้นก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนช่วยไม่ได้ เรื่องทำนองนี้จึงเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ใครฉลาดคนนั้นได้ ใครโง่คนนั้นเสีย
สมมุติว่าผู้เขียนโง่ตามผู้อ่านบางคนขอย้ำว่าบางคนเพราะไม่ใช่ทุกคน แล้วไม่กล้านำประสบการณ์ที่ได้รับออกมาตีแผ่ มัวแต่ไปนั่งคิดว่า เดี๋ยวคนอ่านจะไม่ดูเว็บ เดี๋ยวคนอ่านจะตำหนิว่าผู้เขียนตีตนเสมอพระพุทธเจ้า หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ถ้าเราทั้งหลายต่างคนต่างโง่ด้วยกันเราทั้งหลายก็ต่างพากันไปลงเหวด้วยกันก็เท่านั้น ถ้าผู้เขียนโง่ตามผู้อ่านบางคน โอกาสที่ผู้เขียนจะสร้างกุศลบารมีอันยิ่งใหญ่ด้วยการให้ธรรมะเป็นธรรมทานก็กลายเป็นหมันไป ถ้าผู้เขียนเกิดมาแล้วมีประสบการณ์ท่งขื่นขม สุขทุกข์ ทั้งทำให้ตนพ้นสุขและทำให้ตนเองพ้นทุกข์ มีโอกาสนำออกมาแล่แล้วไม่รีบเลา แบบนี้ก็เรียกได้ว่าผู้เขียนเสียชาติเกิด
เวลาของเราแต่ละคนมีน้อย อย่าปล่อยให้เวลาดี ๆ ที่เราเกิดมาเป็นคนทั้งทีมีโอกาสปฏิบัติธรรมแล้วอย่าหลุดลอยให้โอกาสลอยนวล นึกถึงรายการทีวีช่อง 3 มีรายการอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลทีไร ทำให้ผู้เขียนนึกถึงตนเองขึ้นมาตะหงิด ๆ ว่าอย่าปล่อยให้โอกาสลอยนวลยอย่างไรก็อย่างนั้น เวลาของเราแต่ละคนเหลือน้อยลงทุกนาที ๆ ไม่รู้ว่าเราจะตายนาทีไหน เวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ ฉกฉวยโอกาสในการปฏิบัติธรรมเสีย "อย่าปล่อยให้โอกาสลอยนวล"