เผยคืนรอยต่อปีเก่า-ปีใหม่ 31 ธ.ค. ต่อเนื่อง 1 ม.ค. 53 จะมีปรากฏการณ์จันทรคราสบางส่วนนาน 1 ชั่วโมง นักดาราศาสตร์ชี้เป็นแค่เสี้ยวจันทรคราสที่แทบมองไม่เห็น ให้รอลุ้นสุริยคราส 15 ม.ค. 53 ดีกว่า แต่ในส่วนโหราศาสตร์ โหรดังอย่าง”อรรถวิโรจน์” ชี้เป็นปรากฏการณ์ที่อาจส่งผลทางร้ายต่อดวงโลก ทั้งภัยธรรมชาติและภัยเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บ ไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย (thaiastro.nectec. or.th) ระบุการเกิดอุปราคาครั้งสุดท้ายของปี 2552 เป็นจันทรุปราคาบางส่วน เกิดขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนของคืนวันพฤหัสบดีที่ 31 ธ.ค. 2552 เข้าสู่เช้ามืดวันศุกร์ที่ 1 ม.ค. 2553 ตามเวลาประเทศไทย (ยังเป็นวันที่ 31 ธ.ค. ค.ศ.2009 ตามเวลาสากล) พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้
ได้แก่ ทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และตะวันตกของออสเตรเลีย ทวีปเอเชียและออส เตรเลียเห็นปรากฏการณ์ในเช้ามืดวันที่ 1 ม.ค. 2553 ขณะดวงจันทร์เคลื่อนต่ำลงบนท้องฟ้าทิศตะวันตก ทวีปยุโรปและแอฟริกาเห็นในคืนวันที่ 31 ธ.ค. ขณะดวงจันทร์เคลื่อนสูงขึ้นบนท้องฟ้าทิศตะวันออก
ประเทศไทยเริ่มเห็น ดวงจันทร์แหว่งในเวลา 01.53 น. ขณะดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 70 องศา ทางทิศตะวันตก เงามืดเข้าบังดวงจันทร์ลึกที่สุดในเวลา 02.23 น. ด้วยขนาดเพียง 8% ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงประมาณ 60 องศา ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวงอีกครั้งในเวลา 02.53 น. รวมเกิดจันทรุปราคาบางส่วนนาน 1 ชั่วโมง
นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน นักวิชาการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาท้องฟ้าจำลอง กล่าวว่า ปรากฏการณ์ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2552 ล่วงเข้าสู่วันที่ 1 ม.ค. 2553 จะเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเพียงนิดเดียว มองดูแทบไม่ออก ดวงจันทร์จะแหว่งนิดหนึ่งถ้าเทียบเป็นสัดส่วนคงลำบาก
โดยดวงจันทร์จะเคลื่อนเข้าเงามัวของโลก แต่เราดูไม่ออก เพราะดวงจันทร์ยังคงสว่างอยู่มาก จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลกในเวลาประมาณตี 2 จะเห็นดวงจันทร์มีลักษณะเว้าแหว่งเพียงนิดเดียว
นายสิทธิชัยกล่าวต่อ ว่า ปรากฏการณ์จันทรุ ปราคาครั้งนี้ดูได้ทั่วประเทศ แต่อาจมองไม่รู้ เพราะเกิดขึ้นเพียงนิดเดียวเหมือนเฉือนผิวส้ม ไม่มีอะไรพิเศษ ในทางดาราศาสตร์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่การสังเกตไม่เร้าใจเท่าไร แต่ในวันที่ 15 ม.ค. 2553 จะเกิดสุริยุปราคา เวลาประมาณบ่าย 2 โมงจนถึงช่วงเย็น อันนี้น่าดูมากกว่า จะเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง แต่การดูต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว หัวหน้าโครงการศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA) กล่าวว่า การเกิดจันทรุปราคาหนนี้ไม่ใช่จันทรุ ปราคาเต็มดวง แค่หมอง ซึ่งหมายถึงดวงจันทร์ไม่ได้มืดเต็มดวง จึงไม่น่าสนใจ และโปรโมตไม่ค่อยได้
สำหรับในแง่มุมของนักโหราศาสตร์นั้น พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา นักโหราศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า สำหรับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. 52 ถึงเช้ามืดวันที่ 1 ม.ค. 53 และวันที่ 15 ม.ค. 53 ถือเป็นลางบอกเหตุไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นกับโลกและประเทศไทย เพราะจันทรุปราคา มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า จันทรคราส ซึ่งคำว่า “คราส” แปลว่า ความรุนเเรง
ในส่วนของโลกนั้น ให้จับตาดู 2 เรื่อง คือ ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ และเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลก ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาตินั้น ให้จับตาดูในเรื่อง แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงอยู่ในแนวเดียวกันพอดี
จะทำให้เกิดพลังงานแม่เหล็กที่มีผลกระทบต่อโลก โดยในอดีตก็มีเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่มาแล้ว คือ สึนามิ ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโลก อาจเกิดเหตุภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เงินดอลลาร์ตก คนตกงาน ข้าวของแพง และผู้คนอดอยาก
“ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดู ในเรื่องของการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงด้วย เพราะในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงเสียชีวิต ล่าสุดได้เกิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่างไมเคิล แจ๊กสัน” นักโหราศาสตร์กล่าว
ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น โหรชื่อดังระบุว่า ตามหลักโหราศาสตร์จะต้องดูลัคนาราศีด้วย โดยเดือนธ.ค. จะตรงกับราศีธนู ที่หมายถึง “ศาสนาและคุณธรรม” จึงอยากให้มองประเด็นไปที่จิตใจคน เพราะเมื่อคนไม่ละอายต่อบาป หรือไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา ก็จะไม่มีคุณธรรม จิตใจก็จะเสื่อม ทำให้ขาดจิตใต้สำนึก ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา
จึงอยากให้จับตาดูในเรื่องที่เกี่ยวข้อง คือ สังคมและเศรษฐกิจ โดยในปี”53 จะเป็นปีที่ต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างในอดีต ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะดวงคนมีความผูกพันกับดวงดาว
ที่มา webboard.yenta4.com/topic/365489
“วิธีแก้ไข ควรทำการบวงสรวงและสวดดวงชะตาดวงเมือง โดยมีพระสงฆ์ 108 รูป และพราหมณ์ในการทำพิธี เพื่อปัดเป่าเภทภัยให้ทุเลาลง” พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์กล่าวและว่า ขอร้องให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เสียสละ และมีความสามัคคี เพื่อให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดี“