อับดับ 5 พรพต (POL POT)
กัมพูชา (Cambodia)
เป็นผู้นำเขมรแดง และเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาในปี1976 ถึง 1979 ถูกตั้งฉายาว่าฮิตเลอร์แห่งเอเซียอาคเนย์ เขามีความคิดที่จะปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแบบพึ่งตัวเอง เขาการปิดประเทศ ปิดโรงเรียนเพื่อประชาชนจะได้โง่ นอกจากนี้ยังปิดโรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ฯลฯ เรียกได้ว่าอันไหนเจริญพี่แกสั่งปิดหมด
เขาบังคับให้กลายเป็นชาวนาชาวไร่อาศัยอยู่ตามค่ายแรงงาน ทำงานวันละ 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพักและได้รับอาหารที่เพียงพอ ระหว่าง 4 ปีที่พอลพตอยู่ในอำนาจ เขาทำให้กัมพูชาเต็มไปด้วยความอดอยาก ทำให้ผู้คนล้มตายไปจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็สั่งจับ ทรมาน และสังหารคนที่ต้องสงสัยว่าติดต่อกับรัฐบาลเก่าหรือรัฐบาลต่างชาติ ปัญญาชนหรือคนที่แหกกฎของพวกเขาก็ล้วนแต่ถูกฆ่าตายอย่างมโหด ทั้งนี้ ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5-2 ล้านคน(หนึ่งในสามของประชากรในประเทศ) กลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดของศตวรรษที่ 20 หรือผู้คนรู้จักกันดีในนามของ คิลลิ่งฟิลด์(KillingField)
ภาพเหยื่อผู้เสียชีวิตครับ http://www.youtube.com/watch?v=1-SI8RF6wDE
พอล พตถูกขับไล่ออกจากประเทศในเวลาต่อมา เขาตายเมื่อปี 1997 และนี้คือคำพูดสุดท้ายของเขา
"I came to carry out the struggle, not to kill people. Even now, and you can look at me, am I a savage person?"
"ผมมาเพื่อต่อสู้สำหรับชนชั้นกรรมาชีพ (ชาวนา) ไม่ใช่มาฆ่าคน แม้บัดนี้ คุณสามารถมองมาที่ผมได้ ผมเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้นหรือ ?"
ครั้งหนึ่ง เขาเชิญบรรดา คนชรา คนป่วย และขอทานมากินที่ปราสาทของเขา หลังทุกคนกินและดื่มเสร็จแล้ววลาดก็สั่งทหารล้อมปราสาทไว้และจุดไฟเผาให้ทุกคนในนั้นตายทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า “ข้าพเจ้าทำลงไปเพราะไม่อยากผู้คนในเขตปกครองของข้าพเจ้าประสบกับความยากไร้อีก”
อันดับ 3 อีดี้ อามิน(IDI AMIN)
อูกันดา (Uganda)
อีดี้ อามิน(1925_2003) จอมเผด็จการอูกันดา เขาก่อการปฏิวัติด้วยทหารของเขากว่า 9000 นาย และในปี 1975 เขาประกาศตัวว่าเป็น “ประธานาธิบดีเจ้าชีวิต(President for life)” จากนั้นก็งดโฆษณาและสื่อทั้งหมด และบังคับให้ประชาชนสวมชุดขาวไปเมืองหลวงในขณะที่เขานั่งบนบัลลังก์
เขาจับตัว นายพลจัตวา สุไลมาน ฮุสเซน ผู้บังคับการกองทัพบกแห่ง อูกานดา อย่างอุกอาจและฆ่าและตัดศีรษะจากนั้นก็เก็บไว้ใน ช่องฟิสต์ในตู้เย็นที่บ้านและนำออกมาให้คนภายนอกเห็นเป็นบางครั้งบางคราว
เขายังบังคับประชาชนให้ท่องคำสาบานจงรักภักดี และคุกเข่า นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ถ่ายทอดสดการตัดศีรษะของนักโทษการเมืองให้ประชาชนในประเทศได้ดูกันสดๆ พร้อมกันนี้เขายังเอาเลือดที่ไหลจากคอใส่แก้วและนำมาดื่มสดๆ อย่างกระหาย
อีดี อามิน ปกครองอูกันดา ตลอด 8 ปีที่เขาปกครองได้เข่นฆ่าประชาชนราว 100000- 500000 คน และเขาปกครองแบบกดขี่ประชาชนตลอดที่เขามีอำนาจมา 8 ปี
ในปี 1972 อีดี อามิน จัดการขับไล่ชาวภาษาปากีสถาน และชาวอินเดียจากประเทศกว่า 40,000 ถึง 80,000 โดยให้เหตุผลว่า “เขาได้รับข่าวสารจากพระเจ้าแห่งอูกานดา”
ในวันที่ 16 สิงหาคม 2003 อีดี อามิน ก็จบชีวิตลงในกรุงเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย(โดนขับไล่ออกจากประเทศ) จากโรคอวัยวะภายในล้มเหลว แม้รัฐบาลอูกานดาจะประกาศว่า ร่างของ อามินควรจะ ได้รับการฝังในอูกานดา แต่ว่าร่างของเขา กลับถูกฝังในซาอุดิอาระเบีย โดยทันที เขาเป็นผู้กระทำผิด ที่ ไม่เคย ได้รับการลงโทษเลย............
อันดับ 2 ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ (SAPARMURAT "TURKMENBASHI" NIYAZOV)
เติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan)
ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ (ชื่ออ่านยากเป็นบ้า) เป็นประธานาธิบดีของเติร์กเมนิสถาน เป็นประธานาธิบดีแบบเผด็จการและได้เปลี่ยนประเทศเติร์กเมนิสถานเป็นประเทศที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน โดยตั้งตนเองเป็น "ประธานาธิบดีตลอดชีพ"
เริ่มจากควบทั้งเก้าอี้นายกฯ แม่ทัพ ผู้นำพรรคการเมืองพรรคเดียวของประเทศ ไม่ยอมให้มีฝ่ายค้าน ให้ประชาชนเรียกเขาว่า "เกรท เติร์กเมนบาชิ" (บิดาแห่งชาวเติร์กเมนทั้งมวล)
เขาเปลี่ยนชื่ออากาศยานของประเทศ มาเป็น "Turkmenbashi" และแทนที่ชื่อเมืองใหญ่เป็น "Krasnovodsk to Turkmenbashi" ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเปลี่ยนชื่อโรงเรียนและถนนมากมายมาเป็น "Turkmenbashi" ขนาดลูกอุกาบาตรตกในประเทศเขายังตั้งชื่อมันว่า "Turkmenbashi" เลยคิดดู และเชื่อหรือไม่ เขาเปลี่ยนชื่อเดือนมกราคมไปเป็น "Turkmenbashi" (สงสัยเขาจะชอบชื่อตนเองมากๆ นะนั้น)
คือชื่อยังไม่พอนะคราวนี้รูปร่างหน้าตาเขาบ้าง เขาออกคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์,ขวดว็อดก้า,นาฬิกาในประเทศทั้งหมดต้องติดมีโลโกใบหน้าของเขา และให้ติดตั้งรูปภาพและรูปปั้นของตนไว้เคารพบูชาทั่วประเทศ!!
นอกจากนี้ซาปาร์มูรัตมีพระราชวังน้ำแข็งตรงกลางของประเทศ ทั้งๆ ที่ประเทศนั้นร้อนตับจะแลบ... แถมภายในราชวังยังมีสวนสัตว์ที่รวมสัตว์แปลกๆ เยอะแยะมากมายรวมถึงเพนกวินด้วย.........
ส่วนการบริหารประเทศเขาก็ยังออกกฎแปลกๆ เช่นห้ามมีอุปรากรหรือบัลเล่ต์, จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและสื่อฯ ทุก รูปแบบ ห้ามเคลือบฟันทอง ห้ามเยาวชนไว้ผมยาวและหนวด ฯลฯ
ในปี 2004 ซาปาร์มูรัต ได้มีการกำหนดวันหยุดแห่งชาติคือ วันแตงไทยแห่งชาติ(National Melon Day) เป็นวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม ให้กับพลเมืองเติร์กเมนิสถานนึกถึงความสำคัญของแตงไทย....(สำคัญตรงไหนนั้น)
ซาปาร์มูรัตเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวายเมื่อเดือนธันวาคม 2006 ด้วยอายุ 66 ปี
อันดับ 1 จักรพรรดิคาลิกูลา (CALIGULA)
โรมัน (Ancient Rome)
จักรพรรดิเนโรต้องชิดซ้าย เมื่อมาเจอคาลิกูลา(12–41BC) จักรพรรดิผู้อื้อฉาวของโรมันซึ่งทำให้อาณาจักรที่รุ่งเรืองหลายร้อยปีต้องถึงกาลวิกฤต
คาลิกูล่าขึ้นครองอำนาจโรมันก็อยู่ในกลียุค เขาไม่สนใจบริหารบ้านเมือง เอาแต่เสพสุขและผลาญคลังสมบัติ มากกว่านั้นพระองค์มีความกระหายทางเพศมาก พระองค์จับผู้หญิงที่มีสามีเอามาเป็นภรรยาของตัวเอง, เซ็กซ์หมู่, แต่ที่เลวกว่านั้นพระองค์!! สมสู่กับน้องสาวตัวเอง.....
ในช่วงปีแรกที่คาลิกูล่าขึ้นมามีอำนาจ เขาสนใจแต่งานแต่งงานที่ใหญ่โต สมรสกับผู้หญิงอื่นเป็นว่าเล่น(และหย่ากันในเวลาอันรวดเร็ว) บางครั้งถึงกับตั้งโสเภณีขึ้นเป็นราชินี เมื่อสมบัติหมดคลังก็เอานางสนม หญิงชั้นสูง และราชินีของตัวเอง ไปขายบริการทางเพศเพื่อนำเงินมาเสพสุขต่อ โอ้................
คาลิกูล่าสมมุติตนเองว่าเป็นคนมีเกียรติยศและเป็นสักการะ พระองค์ได้สร้างรูปปั้นสีทองจำลองของพระองค์ โดยให้ผู้คนบูชาเสมือนพระเจ้า นอกจากนั้นเขายิ่งคิดว่าเขารูปร่างและยิ่งใหญ่กว่าเทพจูปิเตอร์(ซุส) ครั้งหนึ่งพระองค์เคยถามคนอื่นว่าระหว่างเทพจูปิเตอร์กับพระองค์ใครยิ่งใหญ่กว่ากัน แน่นอนคนที่ตอบจูปิเตอร์ผลที่ตามมาคือบทลงโทษที่เหลือจะกล่าว
นี้ยังบ้าไม่พอเหรอ...ยังมีอีกนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งคาลิกูลามีม้าตัวหนึ่ง ซึ่งพระองค์รักม้าตัวนั้นของเขามาก ถึงขั้นใส่สร้อยเพชรประดับบนตัวม้าทั้งตัว มีเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์มากมาย พร้อมคนรับใช้ส่วนตัว พร้อมวิหารให้กับมัน (วิหารแบบเทพซุสที่มีนักบวชนั้นแหละ) และนอกจากนี้ยังตั้งม้าของตนเองเป็นสมาชิกสภาสูงอีก....ถือว่าฉีกหน้านักการเมืองสมัยนั้นมาก แต่กระนั้นเขาก็ยังพูดว่า "ม้าของฉันน่ะทำงานดีกว่าผู้ชายในที่นี้อีก!!"
จักรพรรดิคาลิกูลาถูกลอบสังหารขณะชมกีฬา สภาสูงสุดแห่งโรม ซึ่งแน่นอนไม่ต้องถามว่ามีคนเสียใจกับการตายของพระองค์จำนวนกี่คน...
ที่มา เด็กดีดอทคอม