อาจจะยาว ไป แต่ตั้งใจ เอามาฝากค่ะ
คนอเมริกันถูกบอมบ์ด้วยโฆษณาจากทางทีวีอย่างหนักหน่วงทุกวัน จนเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่ออาหารที่ทำลายสุขภาพมาเป็นในแง่ดี ร้านค้าของชำในแต่ละท้องถิ่น จะมีสินค้ามากกว่า 35,000 ชนิด ที่เก็บสต็อค เอาไว้ ซึ่งไม่เหมาะสมที่ท่านจะบริโภคมัน ถ้าท่านขีดวงจำกัดหลีกเลี่ยงที่จะไม่บริโภคสินค้าใหม่ๆจำพวกเนื้อ นมและเบเกอรี่ รวมถึงสินค้าบริโภคที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบสำเร็จรูปที่ตั้งชั้นวางขายขวางเอาไว้เป็นพิเศษอีก ท่านก็จะมีสุขภาพดีขึ้นมากอีกอักโขเลยทีเดียว แต่การที่ประเทศเราเป็นต้นตำรับประเภทอาหารฟ๊าสฟู๊ด เราจึงควรมาพิจารณาถึงสิ่งประกอบที่มีอยู่ในอาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพกันดูบ้าง
1. แฮมเบอร์เกอร์
• จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม
• เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง
ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด
• เนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียวา การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสด
แฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธี อื่นๆ
• แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์
เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น
และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน
• เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)
• แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate)
ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น
และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย
• อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็น
อันตรายในเนื้อ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ
• เนื้อบดเป็นเสมือนกับอาหารของคนลี้ภัย อาหารเบอร์เกอร์ทำให้เกิดโรค E- coli
ที่ต้องทำการรักษา มากกว่าโรคที่เกิดจากอาหารชนิดอื่น
• แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารยิ่งใหญ่รายการเดียวที่ทำให้เกิดความเสียหาย
และก่อความทุกข์ให้กับอาหารของอเมริกัน .......บริการอาหารได้นับพันล้านชุด
...... ค่าหมอและค่าโรงพยาบาลรักษานับพันล้านเหรียญ .....
• ฮอร์โมนที่ใช้ฉีดวัวควาย ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ หากท่านบริโภคเนื้อเหล่านั้น
• ชีสเบอร์เกอร์ ประกอบด้วยไขมันทั้งหมดเกินกว่า 100% ของอาหารไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
• เบอร์เกอร์คิง ซ้อนหลายชั้นชุดพิเศษ จะให้พลังงาน 1.150 แคลอรี่ และไขมันรวม 76 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 33 กรัม และเกลือโซเดียมอีก 1,530 ม.ก.
• เครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์ พริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถันเพื่อควบคุมความสดของผัก
• เบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีเกลือโซเดียมอยู่ 1,090 ม.ก. (เท่ากับ 45% ของปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในแต่ละวัน) ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้า
2. ฮอทด็อก
• จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำจากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม
• เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด
• เนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียวา การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสด
แฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธี อื่นๆ
• ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หูเล็บและส่วนอื่นๆของมัน
• เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ ( Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
• ฮอทด็อกทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นและท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย
• ฮอทด็อกจะใส่สารไนไตรท์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือดื้อเนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
• สารเติมช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นจำพวก
ธัญญาหาร อาจเป็นนมผงรบกพร่องมันเนย ถั่วเหลืองหรือสารอย่างอื่นก็ได้
ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตและกระบวนการในการผลิตด้วย
• ถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกทำจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง
• มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40%
• เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่าอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าว่า เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายประสาท
3. เฟร้นช์ฟราย มันฝรั่งทอด
• เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”
• การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
• มันฝรั่งมีดรรชนี กลีซิมิค(Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึง มันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก การรับประทานมันฝรั่งปิ้งหนึ่งหัว(หรือเฟร้นช์ฟรายในปริมาณเทียบเท่ากัน) จะมีประมาณน้ำตาลเท่ากับ รับประทานเค้กช็อคโกเล็ตชิ้นโตๆทีเดียว
4. ออริโอ คุกกี้ คุ๊กกี้ที่ขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (ขนาด 6 ชิ้น = ขนาดในการบริโภคต่อครั้ง)
• ที่เด่นชัดมากก็คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียวน
• ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อกโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก
• พลังงาน 370 แคลอรี่ที่แทบจะไม่มีสารประกอบของอาหารที่ให้พลังงานอยู่เลย
แคลอรี่เทียบได้เท่ากับการรับประทานเนื้ออกของไก่ 2 ชิ้น
• คุกกี้ 6 ชิ้น จะมีไขมันอยู่ 12 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2.5 กรัม คาร์โบ ไฮเดรต 40
---หมายถึง คุ๊กกี้แค่ 6 ชิ้น มีจำนวนคาร์โบเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวันเสียอีก
• ออริโอคุกกี้จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลให้ท่านได้มากยิ่งขึ้นภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้นะ
• กลิ่นรสธรรมชาติที่ระบุไว้นั้น เป็นสารเคมีจากทางโรงงานที่ทำให้ออริโอมีรสชาติยังกับคุกกี้ช็อกโกเล็ต จากกระบวนการผลิตชั้นสูง ที่ทำให้ออริโอคุกกี้ได้กลิ่นรสที่ไม่ได้เป็นมาจากธรรมชาติเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
• บริษัท นาบิสโก ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfats)
ว่ามีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่า มีอยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับอาหารในประเภทนี้
• น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5. พิซซ่า
• พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์ กรรม 5 ชนิด
1. เนยแท้(cheese)เพียง 10% เท่านั้น ที่ไม่ควรจะเรียกว่าเนยแท้ได้เลย
2. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสีทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว
แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่
3. ซ๊อสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง
ในร่างกายของท่าน
4. แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
5. มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ้ายืช เมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด
กระทรวงเกษตรและกระทรวงสาธารณสุขต่างก็ไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่
จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น
แต่มันเป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตและมีอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง
• ผิวหน้าแป้งพิซซ่าที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจจะมีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides)เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทได้
• การเพิ่มหน้าพิซซ่า เพ็พเปอโรนิหรือเพิ่มหน้าไส้กรอก ทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก ไนไตรต์ สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆรวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน
6. น้ำอัดลม
• สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค๊กก็คือกรดกำมะถัน(Phosphoric acid)
ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วินาที
• กรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
• น้ำโซดาจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูกของท่าน ช่วยทำเกิดโรคกระดูกพรุน
• ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง จะมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา
• ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว(Diet soda) ที่ใช้น้ำตาลเทียมสังเคราะห์(Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายของท่านกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะว่า น้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก
• สีที่ใช้เติมในน้ำอัดลม เป็นสารเคมีก่อมะเร็ง
• เราเรียกน้ำอัดลมนี้ว่า น้ำตาลเหลว เพราะมันมีน้ำตาลประกอบอยู่สูง การดื่มน้ำอัดลม ก็เสมือนกับการกินแท่งช็อกโกเล็ตน้ำตาลเหลว
• ส่วนประกอบสำคัญในน้ำอัดลมก็คือ น้ำเชื่อมฟรัคโต๊สที่ได้มาจากข้าวโพด
7. ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก
• ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆ
• การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน
• มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง
• มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลอง และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้
• มีสารฟอสเฟตประกอบอยู่ด้วย ทำให้ร่างกายเกิดเป็นกรด เป็นการยากที่จะทำให้มันเผาไหม้ไขมันได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง จึงถูกสะสมและยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
• นัคเก็ตชิคเก้นบางอัน (ของแม็คโดนัล) จะมีสารอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
8. ไอศกรีม
• มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้ง
• มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
• มีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
• เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat)ไปจากธรรมชาติ
และ
1. ช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรัล็ต
2. ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตันะ
3. ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น(เป็นสาเหตุก่อให้เกิด
โรคมะเร็ง) • ฮอร์โมนที่ฉีดให้กับวัวเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนม จะลดการเมตะโบลิสซึมของร่างกายให้ลดน้อยลง ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และมะเร็งที่ทรวงอกและรังไข่
9. โดนัท
• โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ง
• ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
• มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
• โดนัทนั้นทอดในน้ำมันที่มีการออกซิไดซ์ และในแต่ละครั้ง น้ำมันนั้นใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ ดังกิ้นโดนัทเปลี่ยนน้ำมันใช้ทอดทุกครั้ง เมื่อทอดโดนัทครบ 3,600 ชิ้น น้ำมันในอุณหภูมิที่สูงจะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลงเป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีของท่าน
• มีน้ำตาลอยู่สูง ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
10. โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวยามว่างที่มียอดขายมาอันดับ 1 ของอเมริกันชน
• คนอเมริกันในปัจจุบันบริโภคโปเตโต้ชิพมากกว่าประชากรอื่นใดในโลก มีการบริโภคมันสำปะหลังเป็นอันดับสองรองจากข้าว มันกลายเป็นสินค้าโลกไปแล้ว
• มันสำปะหลัง 4 ปอนด์ ใช้ทำโปเตโต้ชิพได้เพียง 1 ปอนด์
• ขนาดเล็กของโปเตโต้ชิพที่บรรจุ 2 ออนซ์ มันจะมีพลังงานที่อัดแน่นสูงเกิน กว่า300 แคลอรี่
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดโพเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
• การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูง
ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งถุง อาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500
เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้ การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำดื่มหนึ่งแก้ว
• มีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก
• มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้
“HEALTH CHIPS สูตรใหม่ที่แนะนำสู่ตลาดอย่างยี่ห้อ BAKED LAYS หรือ
OLESTRA อาจมีอันตรายมากกว่าโปเตโต้ชิพแบบธรรมดาเสียอีก”
• BAKED LAYS มีพลังงานที่อัดแน่นของแคลอรี่เกือบใกล้เคียงกับ LAYS โพเตโต้
ชิพเร็ง แบบธรรมดา มีส่วนผสมระหว่างมันสำปะหลังกับอาหารจำพวกแป้งอื่นๆแล้วนำมาอัดแน่นเป็นแผ่น
โพเตโต้ชิพ มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งอยู่มาก
• OLEAN / OLESTRA โปเตโต้ชิพอ
อาจก่อให้เกิดมีน้ำมันออกทางบริเวณทวารหนักหรืออาจสร้างปัญหาให้กระเพาะ
อาหารหรือลำไส้ได้ (ตามรายงานที่พิมพ์เอาไว้บนถุง)
ไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร
ที่เรารับประทานเข้าไปได้น้อยลง
ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสารคาโรทินอยด์และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วย
ในการป้องกันการเกิดโรค หัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง ...
ที่มา www.artsmen.net