Advertisement
❝ หลังจากไม่ได้สอนหนังสือแล้ว รู้สึกว่าง ๆ ก็เลยไปหาประสบการณ์การสอนเด็กพิเศษ ก็ทำให้ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ ๆ จนต้องตัดสินใจเข้าเรียนศึกษาศาสตร์ของ มสธ. เพื่อศึกษาศิลปะและศาสตร์ของการเป็นครูเสียที ❞
ชีวิตครูของผม ตอน ครูอาสาโรงเรียนคนตาบอด
หลังจากที่ถูกอัญเชิญออกจากโรงเรียนดังกล่าวแล้ว ก็ว่างไม่รู้จะทำอะไร ผมก็เลยไปอาสาสอนภาษาอังกฤษให้คนตาบอดดีกว่า เผื่อจะได้ประสบการณ์การสอนในรูปแบบใหม่ ๆ ก็เลยไปแจ้งความจำนงที่ รร.คนตาบอดในจังหวัด ซึ่งไม่ผิดหวังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สิ่งที่เราได้ทราบตอนแรกก็คือ คนตาบอกนั้นแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ บอดสนิท ซึ่งอาจจะบอกมาแต่กำเนิด หรือ มาบอดภายหลัง ซึ่งคนท่าบอดแต่กำเนิดนั้นจะมีปัญหาในเรื่องของทิศทาง สี ฯลฯ เพราะไม่มีสัญญาในเรื่องดังกล่าว ส่วนบอดสนิทภายหลังไม่มีปัญหา ยังพอนึกสิ่งที่เราพูดได้ และบอดอีกแบบหนึ่งซึ่งจัดในประเภทบอดสนิทคือ บอดตาใส คือดวงตาเหมือนกับคนปกติ แต่มองไม่เห็นอะไร สำหรับแบบที่สองคือเลือนราง อันนี้มองเห็นเป็นเงา เวลาอ่านหนังสือต้องใช้ตัวโตกว่าปกติ หรืออาจจะใช้แว่นสายตาสั้นแบบเลนส์ที่มีค่าสูง ๆ ถึงจะอ่านออก แบบนี้ก็สอนได้ไม่มีปัญหา แต่ที่น่าสงสารคือ คนตาบอดที่มีมาแต่กำเนิด ในบางรายอาจจะมีปัญหาทางสมอง คือปัญญาอ่อนด้วย ประเภทนี้มักจะมาอยู่ที่ รร.คนตาบอดตั้งแต่เด็ก บางรายตาบอดเพราะแพ้ยาหยอดตาก็มี ฐานะทางบ้านส่วนใหญ่ของโรงเรียนคือยากจน ดังนั้นทางเจ้าของจึงไปรับมาอยู่ในโรงเรียน เด็ก ๆ ในโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่ต้องกินนอนที่โรงเรียน เพื่อฝึกทักษะในการใช้ชีวิตอยู่โดยลำพัง พวกเด็ก ๆ อยู่จนขนาดที่วิ่งขึ้นลงบันไดได้ โยไม่หกล้ม เว้นแต่เวลาทะเลาะกันถึงลงไม่ลงมือเนี่ยสิ ปัญหาใหญ่ เหมือนเอาผ้าปิดตานักมวยแล้วชกกัน สำหรับเรื่องการกินอาหารนั้น เด็ก ๆ ก็จะมีแม่ครัวมาทำให้ บางวันก็จะมีผู้มีจิตศรัทธามาเลี้ยงอาหาร ซึ่งเด็ก ๆ จะชอบหรือไม่ก็ต้องกิน โดยเฉพาะถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวนี่ลำบากหน่อย ตอนเติมเครื่องปรุง เพราะเด็ก ๆ ต้องให้คนช่วยใส่ บางคนใส่พริกหนักมือจนเผ็ด เด็กก็ต้องกิน ดังนั้นผมจึงได้คิดว่าถ้าจะเลี้ยงอาหารคนตาบอดแล้วถ้าไม่ให้เงินให้แม่ครัวทำให้ ก็ต้องจัดอาหารที่ไม่ต้องใส่เครื่องปรุง หรือใส่เครื่องให้น้อยที่สุดดีกว่า ในส่วนการเล่นกีฬาของคนตาบอดก็มีเหมือนกัน คือถ้าเตะบอล ลูกบอลของเค้าจะเป็นลูกบอลพิเศษคือมีเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ในลูกบอล และใช้สนามไม่กว้าง เด็ก ๆ ก็จะฟังเสียงแล้วไล่เตะลูกบอลกัน ใครยิงเข้าประตู ก็จะได้แต้มในทีมของตน สำหรับกีฬาอื่นก็มีเหมือนคนปกติคือชักคะเย่อ ก็จับเชือกดึง กันไป วิ่งแข่งก็จะใช้ลู่ตรง เป็นต้น สำหรับในเรื่องการเรียนการสอนที่ผมสอนนั้น ผมต้องพิมพ์ตำราโดยใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่พิเศษ แล้วส่งให้โรงเรียนคนตาบอดก่อน จากนั้นเค้าจะทำเป็นอักษรเบลล์ สำหรับคนตาบอดสนิท ส่วนกลุ่มเลือนรางก็จะใช้ตำราที่ผมพิมพ์ เวลาสอนคงไม่จำเป็นต้องใช้กระดาน คงจะเน้นที่การพูดมาที่สุด เวลาทำแบบฝึกหัด นักเรียนก็จะทำเป็นอักษรเบลล์ แล้วทางโรงเรียนจะทำคำตอบเป็นภาษาธรรมดาให้เราอ่าน แต่ตอนหลังผมเกรงใจเลยให้ครูที่ดูแลซึ่งเป็นคนตาบอดเหมือนกันอ่านให้ฟังเลย ในเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะ ผมก็มีโอกาสได้สอน แต่ความลำบากตรงที่กลุ่มที่ตาบอดแต่กำเนิด เราก็ใช้วิธีเอามือแตะขาเค้าเมื่อบอกให้ก้าวขวา หรือซ้าย ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเลเช่นกัน แต่สิ่งที่ต้องเหน็ดเหนื่อยคือ เนื่องจากนักเรียนตาบอดจะมองไม่เห็น จึงใช้เสียงพูดกันค่อนข้างดัง ดังนั้นผมจึงต้องใช้นกหวีดเมื่อยามจำเป็น ระหว่างที่ผมสอนก็เป็นการเริ่มที่โรงเรียนปกติจะรับนักเรียนพิเศษเข้าเรียนร่วม ทางโรงเรียนคนตาบอดก็มีการส่งนักเรียนไปเรียนเช่นกัน สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ถ้าจะเลือกนักเรียนพิเศษแล้ว เด็กตาบอดจะถูกเลือกเป็นอันดับสุดท้าย เนื่องจากความพิการทางสายตาเป็นปัญหามากที่สุด ในการสื่อสาร เพราะหูหนวกดูปาก เดินไปไหนมาไหนได้ ทำรายงานได้ แต่อ่านออกเสียงไม่ได้ แต่คนตาบอดปัญหามากกว่า เพราะเอกสารการเรียนต้องถูกนำมาเตรียมล่วงหน้า ซึ่งโรงเรียนเห็นว่าเป็นการเพิ่มภาระแก่ครูผู้สอน และเด็กตาบอดจะไปไหนมาไหนก็ลำบาก แต่ก็ได้มีการทดลองเรียน ก็กว่าจะเป็นที่ยอมรับก็ทุลักทุเลพอสมควร เคยถามว่าเวลาไปโรงเรียนเวลาจะเข้าห้องน้ำทำไง เค้าก็บอกให้เพื่อนพาไป บางทีเพื่อนก็พาเดินอ้อมห้องน้ำกว่าจะไปถึงซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ แต่ไม่นานก็ชิน บางทีเพื่อนก็พาไปกินข้าวแล้วก็เอาไปนั่งที่ใกล้ห้องเรียน พอโรงเรียนจะเข้าก็มาจูงให้เข้าห้อง วิชาที่มีปัญหาของคนตาบอดคือวิชาการอ่าน และการจดบันทึก เด็ก ๆ ก็แก้ปัญหาโดยการให้เพื่อนอ่านให้ฟัง หรืออัดเทปครูสอน แล้วมาเปิดฟังทีหลัง ผมก็สอนนักเรียนได้ 1 เทอม ก็ต้องหยุดสอน เนื่องจากภาระการงานที่มากขึ้น และผมมาคิดว่า การเป็นครูนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด จึงตกลงใจลงเรียนศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศึกษา แขนงมัธยมศึกษาที่ มสธ.
วันที่ 4 ก.ย. 2551
Advertisement
เปิดอ่าน 7,424 ครั้ง เปิดอ่าน 7,146 ครั้ง เปิดอ่าน 7,154 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,146 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,160 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,414 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,146 ครั้ง เปิดอ่าน 7,166 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,156 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,135 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 16,707 ครั้ง |
เปิดอ่าน 20,771 ครั้ง |
เปิดอ่าน 16,661 ครั้ง |
เปิดอ่าน 5,240 ครั้ง |
เปิดอ่าน 101,364 ครั้ง |
|
|