นับจากวันนั้นมา.....
ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆได้บ้าง แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่ แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบหรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า"ตัวประกอบ" เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอ ถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ
"นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ" ผมพูดด้วยสีหน้าและแววตาลิงโลดใจ
"เอ้า! นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน" พี่ใหม่เอยพร้อมหยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม แล้วเอ่ยบอก
"และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง"
"ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่" ผมรับเช็คค่าความคิดค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำสายน้ำแห่งเจ้าพระยา ยังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง
"พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ"
ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ
"ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ" ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
"ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย...." น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ
"แค่หนังสือเนียนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า" ผมยังวายหยุดว่าพ่อ
"ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก" คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก หนังสือของผม เพราะหนังสือของผมเหรอ
"พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้…นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูกและพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม" น้องชายของผมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
มาถึงตรงนี้หยาดน้ำใสๆก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตาของผม น้องชายของผมยังสาธยายให้ฟังต่ออีกว่า....
"พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเองแต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ พ่อยังบอกอีกว่า... พ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง"
คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้ ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง จะนานแค่ไหนไม่รู้
เวลาผันผ่านไปนานกี่ชั่วโมงผมมิอาจทราบได้ กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้งและครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า...
'นิทานของพ่อ'
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเองให้ผมเข้มแข็ง ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน และ....
ผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก
|