พระอาทิตย์ สุริยเทพ (๒)
**************************
พระสุริยเทพของกรีก ซึ่งทรงพระนามว่า “อพอลโล” หรืออีกนามหนึ่งว่า “โฟบุส” เทพบุตรแห่งสวรรค์ กวีกรีกได้รจนาลักษณะไว้ว่า พระองค์มีรูปงามได้สัดส่วน ทรงยืดหน้าอกอย่างสง่า และชอบทางดนตรี มักจะถือพิณติดมือไปทุกหนทุกแห่ง จนเป็นที่ร่ำลือในฝีมือการเล่นพิณของพระองค์ และทรงถือธนูเช่นเดียวกับไดแอนน่า (พระจันทร์) ผู้เป็นน้องคู่แฝดของพระองค์ จึงถือว่าทรงเป็นนักขมังธนู และยังทรงเทิดทูนกันว่า ทรงเก่งกาจทางเภสัชและการแพทย์ อีกนัยหนึ่ง ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งการแพทย์” เช่นเดียวกับเมอร์คิวรี่ (พระพุธ)
พระองค์ทรงสอนปวงสัตว์โลกให้รู้จักการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเป็นองค์แรก เพราะว่าทรงเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง จึงได้รับการยกย่องอีกด้านหนึ่งว่า ทรงเป็น “เทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อไม่กล่าวเท็จ” เหตุนี้เทพเจ้าผู้มีร่างอันงามอย่างหาที่ติไม่ได้พระองค์นี้ จึงได้รับการยกย่องว่า ทรงดำรงพระเกียรติยศอันสูง ข้อนี้ตรงกับตำราโหราศาสตร์ไทย ซึ่งเมื่อกล่าวถึงพระอาทิตย์ จะยกย่องว่า เป็นผู้รักษาเกียรติ มีความถือตน เจ้าระเบียบแบบแผน มีลักษณะเป็นใหญ่ สมกับคำที่กล่าวยกย่องว่า “ดูยศศักดิ์อัครฐาน ให้ดูอาทิตย์”
สุริยเทพ หรือ อะพอลโล่ ทรงราชรถเทียมม้า
เทพนิยายของกรีกกล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของ จูปีเตอร์ เทพบิดร กับ พระนาง แตโลนา ซึ่งเป็นพระชายาพระองค์หนึ่ง แต่ พระนาง ยูโน พระมเหสีเกิดหึงหวงนางแลโตนา และเพื่อความปลอดภัยของพระนางและบุตรในพระครรภ์ จึงได้อุ้มครรภ์ หนีภัยไปประสูติพระโอรสที่เกาะดีลอส ซึ่งเกาะนี้เกิดจากการบันดาลของเทพเนปจูน ซึ่งมีความสงสาร เมื่ออะพอลโลประสูติ ก็มีฤทธิ์จับงูไพธอน ซึ่งตามมาจะฆ่าพระมารดาตน และฆ่างูร้ายนั้นเสีย
เมื่อเยาว์วัยพระองค์ทรงท่องเที่ยวไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ และเจ้าชู้ มักผูกสมัครรักใคร่กับสตรีทั่วไป และได้ร่วมสังวาสกับสาวนางหนึ่งชื่อ “โครอนนิส” จนมีบุตรด้วยกัน แต่นางก็แอบลักลอบเล่นชู้ อะพอลโลสั่งให้ดุเหว่าขนขาวเฝ้านางไว้ ครั้นดุเหว่าไปรายงานว่าเมียมีชู้ อะพอลโลโกรธมาก จึงสาปนกดุเหว่าให้มีขนสีดำ ด้วยนำข่าวอัปมงคลไปบอก แล้วพระองค์ก็ทรงแผลงศรไปฆ่าเมียตาย ส่วนบุตรก็ล้วงออกจากในท้องตอนเผาศพ และได้ทรงมอบให้อาจารย์ ผู้เก่งกาจทางด้านสมุนไพร เภสัชกรรม ชื่อ โครอน เป็นผู้เลี้ยงดู จนบุตรของอะพอลโล ผู้มีนามว่า เอสคิว เลปิอัส มีความสามารถทางหมอรักษาความป่วยไข้ได้ทุกชนิด เพราะความเก่งกล้าในวิชาความรู้ แม้กระทั่งคนตายก็รักษาให้ฟื้นได้นี้เอง จึงทำให้เทพบิดร (จูปีเตอร์) อิจฉา จึงประหารเอสคิว เลปิอัส ด้วยสายฟ้า อะพอลโลโกรธแค้นมาก แต่ไม่สามารถจะทำอะไรแก่พระบิดาของพระองค์ได้ จึงพาลไปจะทำร้ายเทพวัลแคน นายช่างทำอัสนีบาต อาวุธของจูปีเตอร์ แต่จูปีเตอร์ทราบเรื่องเสียก่อน จึงลงโทษเนรเทศอะพอลโล ลงไปอยู่ในโลก ไปเป็นข้ารับใช้มนุษย์เสีย ๑ ปี จึงจะพ้นโทษ
อะพอลโลจึงไปเป็นคนเลี้ยงแกะของเจ้าครองแคว้นเธสสะลี เมื่อเสร็จธุระแล้วก็ไปช่วยเทพเนปจูนสร้างกำแพงกรุงทรอย โดยใช้เสียงดนตรี ยกก้อนหินให้ลอยไปทำกำแพงได้
ตามเรื่องราวเหล่านี้ ผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์เกี่ยวกับลักษณะของดาวอาทิตย์ จึงได้ความรู้ว่า “ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวอาทิตย์ มักจะระหกระเหเร่ร่อน มักเดินทาง มักผิดหวังในความรัก” การผิดหวังนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว ด้วยประวัติมีว่า
ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ขอยืมรถทรงของเทพเนปจูนไปขโมยลูกสาวเจ้าเมือง อีโตเลีย มา บิดาติดตามไปทัน จึงโจนลงแม่น้ำทำลายตนเอง แต่อะพอลโลมาขวางทาง ประกาศสู้รบกัน ด้วยท้าวเธอก็หมายปองนาง มาร์เพสสะ มาก่อน เทพจูปีเตอร์เข้าขัดขวาง ให้ฝ่ายหญิงเลือกเอาว่าจะอยู่กับใคร นางเลือก ไอดาส ชู้รัก ผู้เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับนาง อะพอลโลจึงแพ้รักอีกเช่นเคย
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเศร้าเกี่ยวกับความรักของอะพอลโล กล่าวว่า อะพอลโลไปพบนาง แดฟนี กลางป่า ก็หลงรักนาง เมื่อเดินตาม นางจึงวิ่งหนี แม้อะพอลโล จะอ้อนวอน นางก็หาเชื่อฟังไม่ นางแดฟนีนั้น เป็นธิดาของ พีนูส เทพประจำแม่น้ำ เมื่อนางวิ่งมาถึงฝั่งแม่น้ำ จึงร้องให้บิดา ซึ่งเป็นเทพประจำแม่น้ำช่วยแปลงร่างให้นางเสีย เมื่อนางร้องจบ ร่างของนางก็ค่อย ๆ กลายเป็น ต้นชัยพฤกษ์ มีเท้าเป็นรากหยั่งลงไปในดิน อะพอลโลตามมาถึงไม่เห็นนาง แต่ที่สุดก็รู้ความจริง ท้าวเธอจึงโปรดปรานต้นชัยพฤกษ์มาก ซึ่งเป็นเหตุให้คนทั้งหลายเด็ดช่อใบ ร้อยเป็นพวงมาลา มอบเป็นรางวัลแก่นักดนตรี และกวีสืบมา
นางแดฟนีนั้น แปลว่า น้ำค้าง มีความหมายว่า เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงมาถึงโลก น้ำค้างตามใบไม้ใบหญ้า ก็ค่อย ๆ ละลายหายไป ดุจนางแดฟนีหายไปจากอะพอลโล
ลักษณะอีกประการหนึ่งของบุคคลผู้อยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงอาทิตย์ คือ มักอาภัพเพื่อน เพื่อนรักมักตายจาก หรือ เป็นอันตราย ดังเช่นมิตรชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง ชื่อ ไฮยาซินทัส ซึ่งหนุ่มผู้นี้ก็เป็นเพื่อนกันกับเทพไพรัส เทพประจำลมตะวันตก เทพไพรัสอิจฉาว่า อะพอลโล รักไฮยาซินทัสมากกว่าตน จึงแกล้งเป่าลม ให้ห่วงเหล็กที่อะพอลโลโยนเล่นกับเพื่อน ถูกเพื่อนโลหิตไหลจนตาย อะพอลโลโศกเศร้า ถึงเพื่อนยิ่งนัก พระองค์จึงทรงบันดาลให้เลือดของไฮยาซินทัส ที่ไหลนองพื้นอยู่นั้นเป็น ต้นผักตบ เรียกว่า ไฮยาซิน ตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาอะพอลโลมีเพื่อนอีกผู้หนึ่งชื่อ ไพราริสสัส ซึ่งเป็นพรานชาวมนุษย์ผู้ฉลาด วันหนึ่ง ไพราริสสัสไปฆ่าลูกกวางที่อะพอลโลเลี้ยงไว้ จึงเสียใจมาก และตรอมใจตาย อะพอลโลจึงบันดาลให้ร่างของไซพาริสสัสกลายเป็น ต้นสนป่า เพื่อยังความร่มรื่นแก่หลุมฝังศพอันเป็นที่รักของคนทั้งหลายทั่วไป
อะพอลโล หรือ สุริยเทพ แม้จะรูปงาม มีความสามารถทางธนูศิลป์ และดนตรี แต่ก็อาภัพรัก และอาภัพมิตร มักร่อนเร่ไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่นักโหราศาสตร์จะต้องจดจำไว้ พระองค์มีหน้าที่ขับรถจากฟากสมุทรไปจนถึงทิศตะวันตก ณ ที่นั้น จะมีเรือทองคอยอยู่ เป็นการสิ้นภาระในวันหนึ่ง แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับทางเรือ คืนสู่วังที่ประทับทางทิศตะวันออก แม้ว่า อะพอลโลจะอาภัพรัก แต่ก็มีคนอื่นเฝ้ารักพระองค์อย่างลุ่มหลง คือ นางอัปสรประจำน้ำ มีนามว่า ไคลที นางเฝ้าคอยดูพระองค์ทุกวัน หวังว่าวันหนึ่งพระองค์จะทรงใยดีบ้าง จนเทวดาทั้งปวงมีความสงสาร จึงเปลี่ยนร่างนางเป็น ต้นทานตะวัน ให้มีดอกชูผินตามดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไปตลอดกาล
สุริยเทพ หรือ อะพอลโล มี นางเทวี เป็นบริวารเก้าองค์ ซึ่งเรียกว่า คณะศิลปวิทยา ซึ่งก็คือลักษณะของดาวอาทิตย์ที่มีอิทธิพลแก่มนุษย์นั่นเอง นางเทวีเหล่านี้เป็นพระธิดาของจูปีเตอร์ รวมกันเรียกว่า มิวส์ มีชื่อเรียกเกี่ยวกับศิลปวิทยาการ ดังนี้
ไคลโอ ประวัติศาสตร์, ยูเรเนีย ดาราศาสตร์, เมลโพมีนี โศกนาฏกรรม , ธะไลอะ สุขนาฎกรรม, เทิปซิโครี นาฏศิลป์, คัลลิโอพี กวีนิพนธ์แสดงเรื่องราว, เออระโต กวีนิพนธ์เกี่ยวกับความรัก, ยูเทอร์พี กวีนิพนธ์บทร้อง และ โพลิฮิมเนีย บทวิเคราะห์ร่ายโศลกต่าง ๆ
ลักษณะของสุริยเทพ หรือ อะพอลโล นั้น ก็เหมือนลักษณะของดาวอาทิตย์ คือ มีนิสัยไม่ประนีประนอม เมื่ออยากได้อะไรก็จะเอาให้ได้ดังใจ ไม่เห็นใจคนอื่น ดังกรณี นางแดฟนี ซึ่งต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะความบุ่มบ่ามของสุริยเทพ สุริยเทพไม่ทรงง้อใครทั้งนั้น และ อะพอลโล ก็ไม่เอาใจใคร ดังกรณี นางไคลที ที่เฝ้าหลงรักพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงสนใจใยดีด้วย
ผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงอาทิตย์ คือ อาทิตย์กุมลัคนา หรือ ลอยอยู่เหนือฟ้าขณะเกิด (ภพที่ ๑๐ กัมมะ) ตามเทพนิยายนี้ กล่าวว่า ดอกไม้ที่ทรงโปรด คือ ชัยพฤกษ์ แต่ชัยพฤกษ์เป็นดอกไม้สีม่วง ที่จริงการจะแทนความหมายของอาทิตย์ที่แท้จริง ควรเป็นดอกไม้สีส้มทุกชนิด ด้วยสีส้ม เป็นสีของอาทิตย์
พระอาทิตย์ตามคติของไทย ถือตรงกับวิทยาศาสตร์ คือ ในความจริงนั้น ดวงอาทิตย์ เป็นใหญ่ในสุริยระบบ (Solar System) เป็นแกนกลาง ซึ่งมีดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ เป็นบริวาร พระอาทิตย์ จะฉายแสงให้ความอบอุ่นแก่ดาวพระเคราะห์ทุกดวงจนทั่ว ไม่ว่าดาวดี ดาวร้าย สมัยก่อนถือว่า อาทิตย์เป็นดาวร้ายให้โทษ ด้วยทำให้พลัดพราก เหตุที่ต้องจรเสมอชั่วนิรันดร์ และความร้อนของพระองค์ ก็ถือเป็นโทษ ตามธรรมดาเมืองร้อนที่ถูกอาทิตย์แผดเผา ทำให้ลำบากตรากตรำกลางแสงแดด เมื่อต้องทำสวน ทำนา ก็ย่อมจะไม่ชอบดวงอาทิตย์ ตรงกันข้ามกับชอบพระจันทร์ อันให้แสงนุ่มนวล และความงามชวนให้คิดฝันในยามค่ำคืน
ในด้านบุคลาธิษฐาน คนไทยจึงเห็นสภาพพระอาทิตย์เป็นคนตัวเล็ก ผิวดำแดง และค่อนข้างจะแคระ ผิดกับชาวกรีก โรม สมัยโบราณ เขาจะวาดภาพดวงอาทิตย์เสียงามสง่าเลอเลิศ ก็เพราะว่ายุโรปอากาศหนาว บางแห่งเต็มไปด้วยหมอก เมื่อแสงอาทิตย์ปรากฎก็เท่ากับเทวดามาโปรด เขาจึงต้องอาบแดด เพื่อเพิ่มพลัง และรับไวตามินจากแสงอาทิตย์เอาไว้ใช้นาน ๆ อาทิตย์ของชาวตะวันตก กับชาวตะวันออก จึงแตกต่างกันฉะนี้
กรีกถือว่า ที่สถิตของพระสุริยเทพ หรือ อะพอลโล นั้น อยู่ ณ ใจกลางโลก วิหารเดลฟี ของ สุริยเทพพระองค์นี้ ในประเทศกรีกจึงถือว่า ตรงนั้น เป็นใจกลางโลกด้วย เพราะว่าพระองค์กล่าวสิ่งใด แต่ละสิ่งล้วนเป็นสัจจะ ไม่มีความมืดมนธ์เคลือบแฝงอยู่ จึงยกย่องกันว่า อะพอลโลเป็นเจ้าแห่งการพยากรณ์ เหตุนี้คำพยากรณ์ที่ออกจากคนทรง ณ พระมหาวิหารแห่งเดลฟี และ พานาซัส จึงยกย่องนับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นวาจาสิทธิ์มาก ณ สถานที่นี้ มีน้ำพุ อันศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่า คาสตาเลีย และแม่น้ำเซฟซัส ผ่าน ทำให้สมเหตุสมผล กับที่ยึดถือกันว่า ที่ตรงนั้นคือ ใจกลางโลก
ณ จุดกึ่งกลางของโลกนี้ ภายหลังมีความขลัง ผู้คนยกย่องและเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ทรงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหตุให้นักบวชและสาธุชนทั้งหลาย รวมทั้งเหล่าอนาคาริก นิยมสัญจรไปนมัสการเสมอมิได้ขาด
พระนามของอะพอลโล มักเรียกขานกันไปต่าง ๆ ดังเช่น เดเลียนแห่งเกาะเดอโลส ด้วยถือกันว่า เกาะแห่งนั้น คือ สถานที่ประสูติของพระองค์ บ้างก็เรียกว่า ไพเซียน ด้วยประวัติของพระองค์นั้น ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ปราบและทำลายงูร้ายแห่งพานาซัส ยังเรียกขานพระนามของพระองค์ไปต่าง ๆ อีก เช่น เทพแห่งไลเซีย คือ เทพแห่งสุนัขป่า , เทพแห่งแสงสว่าง, สมินเธียน เทพเจ้าแห่งหนู เหตุไฉน จึงเป็นเทพเจ้าแห่งหนู ซึ่งเป็นสัตว์ออกหากินในเวลากลางคืน ข้อนี้เป็นที่น่าพิศวงกันอยู่ , พระนาม โฟบุส ของพระองค์ แปลว่า รุ่งโรจน์ ข้อนี้ชวนให้คิดไปถึงประวัติดั้งเดิมของพระองค์ คือ ตำนานเทพเจ้า นั้น ปรากฎว่ามีสุริยเทพอยู่แล้ว ทรงพระนามว่า เฮลิโอ ผู้เป็นหลานของไทแทน ไฮพีเรียน
ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายนั้น ถือกันว่า พระสุริยเทพ อะพอลโล ทรงเป็นผู้ติดต่อกับมนุษย์ได้ดีที่สุดพระองค์หนึ่ง พระองค์ให้คำแนะนำแก่มวลมนุษย์ให้สร้างไมตรีกับเทพเจ้า แม้ว่าจะทรงมีพระบุคลิกลักษณะอันเลิศถึงปานนี้ แต่ก็ยังมีผู้รจนาว่า อะพอลโล มีอยู่สองภาค ภาคหนึ่ง บริสุทธิ์ผุดผ่อง และทรงมีความดีอันเป็นที่สูงสุด ทรงดีกับทุกคน และพระองค์อาจจะชำระเลือดให้แก่ศัตรูได้ แต่อีกภาพหนึ่ง ทรงโหดร้ายยิ่งนัก แบบเดียวกับไดแอนน่า เทพธิดาดวงจันทร์ พระขนิษฐาของพระองค์
ขอบคุณที่มา lifestyle.kingsolder.com