ตรีทศเคราะห์เทวา คือ เรื่องราวของเทพยดาประจำดาวพระเคราะห์ที่ใช้ในโหราศาสตร์แผนใหม่ในระบบพลูหลวง (เกษตรเรือนเดียว,ไม่มีตนุเศษ ฯลฯ) ซึ่งในปัจจุบัน มีการนำเอาดาวพระเคราะห์ที่ค้นพบใหม่เพิ่มเติมจากโหราศาสตร์ดั้งเดิม (ก่อนรัชกาลที่ ๔) ที่มีเพียง ๙ ดวง (นพเคราะห์) คือ อาทิตย์ (๑) , จันทร์ (๒), อังคาร (๓) , พุธ (๔) , พฤหัสบดี (๕) , ศุกร์ (๖) , เสาร์ (๗), ราหู (๘) และ เกตุ (๙) เพิ่มเติมเข้าไปอีก ๔ ดวง ได้แก่ มฤตยู (๐) , เนปจูน (น) , พลูโต (พ) และ แบคคัส (บ) รวมแล้วจึงมีด้วยกันทั้งสิ้น ๑๓ ดวง (ตรีทศเคราะห์) มาใช้ในการพยากรณ์
เป็นความเชื่อของคนโบราณ ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด ล้วนเชื่อว่า เทพยดาทั้งหลายมีจริง และสถิตอยู่ในที่ที่สูงกว่ามนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่า อยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่า “สวรรค์” ทีนี้ถ้าถามว่าสวรรค์ อยู่ที่ไหน ก็มักจะบอกว่า อยู่บนภูเขา เช่น พวกฮินดู บอกว่า อยู่บนภูเขาพระสุเมรุ, พวกตะวันตก ได้แก่ กรีก หรือ โรมัน บอกว่า อยู่บนเขาโอลิมปัส พวกจีน บอกว่า อยู่บนเขาเหลียงซาน ส่วนคนไทยนั้น บอกว่า อยู่บนเขาสิเนรุ ก็แล้วแต่ความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องของเทวดาประจำพระเคราะห์นั้น บอกเสียก่อนว่าดั้งเดิมนั้น เป็นความเชื่อของพวกฮินดู หรือ พราหมณ์ ที่ตกทอดมายังเมืองไทย แต่พวกตะวันตก เขาก็เชื่อถือเหมือนกัน เป็นเทพองค์เดียวกัน แม้จะมีประวัติความเป็นมาแตกต่างกัน แต่ลักษณะต่าง ๆ การอำนวยคุณประโยชน์ หรือ ภาระหน้าที่ที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น เหมือน หรือ ใกล้เคียงกัน
ส่วนความเชื่อในเรื่องของสวรรค์ หรือ เทวดาในพระพุทธศาสนา นั้น ดูจะต่างจากฮินดู ,พวกตะวันตก และ ชนชาติอื่น ๆ มาก ด้วยเหตุที่เชื่อว่า สวรรค์นั้น เป็นดินแดนที่อยู่นอกโลกของเราออกไป หรือ เป็นดินแดนอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่ปะปนกับมนุษย์ หรือ สัตว์ในภพภูมิอื่น เช่น เดรัจฉาน, เปรต อสุรกาย , นรก เป็นภพภูมิที่เรียกว่า สุคติภูมิ มีด้วยกัน ๖ ชั้น ได้แก่
สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง เรียกว่า ชั้นจตุมหาราชิกา มีเทวราชผู้ปกครองถึง ๔ พระองค์ อยู่ประจำ ๔ ทิศ มีหน้าที่ปกปักรักษาโลกมนุษย์ จึงได้ชื่อว่า “ท้าวจตุโลกบาล” ทิศเหนือได้แก่ ท้าวเวสสุวัณมหาราชทิศใต้ ได้แก่ ท้าววิรุฬหกมหาราช, ทิศตะวันออก ได้แก่ ท้าวธตรฐมหาราช และ ทิศตะวันตก ได้แก่ ท้าววิรูปักษ์มหาราช นอกจากเป็นที่อยู่ของพวกเทวดาชั้นต่ำ แล้ว ยังเป็นที่อยู่ของพวกคนธรรพ์, อนันตยักษ์ ครุฑรา, นาคราช, กุมภัณฑ์, กินนร ฯลฯ อีกด้วย
สวรรค์ชั้นที่สอง เรียกว่า ชั้นดาวดึงส์ เป็นชั้นที่เราท่านรู้จักกันดี และถ้าหากใครได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ชั้นนี้อย่างละเอียดแล้ว ก็อยากจะไปอยู่ด้วยกันทุกคน มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ถือเป็นเทพเจ้าที่ปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา และชาวโลก เวลาโลกประสบภัย หรือ คนดีตกทุกข์ได้ยาก ท่านจะต้องเสด็จลงมาโปรด หรือ ให้ความช่วยเหลือเสมอ พระนามของท่านก็คือ “พระอินทร์” หรือมีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า “สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า” สวรรค์ชั้นนี้ คนโบราณสมมติว่าตั้งอยู่บนยอดเขาที่เรียกว่า”สิเนรุ” และชั้นที่หนึ่งสมมติว่าอยู่บนยอดเขา “ไกรลาศ” ซึ่งต่ำกว่ายอดเขาสิเนรุ และที่สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ ก็คือ ยอดเขาพระสุเมรุ อันเป็นที่อยู่ของมหาเทพทั้งสามของฮินดู ที่ไทยเรารับความเชื่อเข้ามาโดยพวกพราหมณ์ คือ พระอิศวร, พระพรหม และ พระนารายณ์
แต่ในทางพระพุทธศาสนาแล้ว เชื่อว่า เทวดาไม่ได้อยู่บนเขา แต่อยู่ในภพภูมิต่างหาก นอกโลกออกไป หรือ สูงกว่าโลกเรา โดยชั้นที่หนึ่ง จะสูงกว่าเท่าไรนั้น ไม่ทราบได้ ไม่มีใครเคยวัด หรือ เคยบอก แต่ชั้นที่สองนั้น สูงกว่าชั้นที่หนึ่งถึงหนึ่งเท่าตัว และชั้นที่สาม ก็สูงกว่าชั้นที่สอง หนึ่งเท่าตัว ชั้นที่สี่ ห้า หก ต่างก็สูงกว่ากันขึ้นไปอีกหนึ่งเท่าตัวเช่นเดียวกัน
สวรรค์ชั้นที่สาม เรียกว่า ชั้นยามา มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ที่คนไทยทุกท่านรู้จักกันดี ในฐานะผู้ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยมาทุกยุคทุกสมัย ได้แก่ พระสยามเทวาธิราชเจ้า
สวรรค์ชั้นที่สี่ เรียกว่า ชั้นดุสิต มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอยู่ ชื่อก็ดูคุ้นหู เพราะครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเรา ก่อนที่จะจุติมาในโลกมนุษย์ ในพระชาติสุดท้าย เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในนามของ เจ้าชายสิทธัตถะ นั้น ท่านได้อยู่ และเป็นใหญ่ในสวรรค์นี้มาก่อน ทรงพระนามว่า ท้าวสันต์ดุสิตเทวราช สวรรค์ชั้นนี้ มักจะเป็นที่อยู่ของเทวดาที่รักสงบ มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่อยู่ของเทวดาพระโพธิสัตว์ หรือ เทวดาที่มีส่วนสัมพันธ์กับพระพุทธเจ้า เสียส่วนมาก เช่น อดีตพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (องค์ที่ ๔ ในภัทรกัปป์นี้ พระนาม พุทธโคดม) เมื่อละจากโลกมนุษย์แล้ว ก็มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ คือ เทพบุตรมายา หรือ อดีตชาติคือ พระนางสิริมหามายา นั่นเอง
สวรรค์ชั้นที่ห้า เรียกว่า ชั้นนิมมานรดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครอง ทรงพระนามว่า ท้าวนิมมานรดีเทวาธิราช สวรรค์ชั้นนี้ ดูจะไม่คุ้นหูคนทั่วไปสักเท่าไรนัก แต่คนที่อยู่ย่านบางแค กทม. คงคุ้นหู เพราะมีวัดหนึ่งในย่านนั้น ใช้ชื่อนี้ เป็นชื่อวัด
สวรรค์ชั้นที่หก เรียกว่า ชั้นปรนิมิตตวสวัตตี แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นศุภเทพ และมารเทพ จึงมีเทวราชผู้ปกครองถึง ๒ พระองค์ แยกกันปกครอง ไม่ปะปนกัน คือ ฝ่ายที่เป็นศุภเทพ หรือเทวดาสัมมาทิฐิ มีเทวราชผู้ปกครองทรงพระนามว่า ท้าวปรนิมิตตนรดีเทวาธิราช ฝ่ายที่เป็นมารเทพ หรือ เทวดามิจฉาทิฐิ มีเทวราชผู้ปกครอง ทรงพระนามว่า ท้าวปรนิมิตตวสวัตตีมาราธิราช เหตุที่สวรรค์ชั้นนี้มีเทพมารก็เนื่องจาก เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเรา ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญเดือนหกนั้น เทวราชฝ่ายที่เป็นมาร ได้จำแลงกายเป็นพระยามาร พร้อมเหล่าพลมาร ขัดขวางการตรัสรู้ธรรม แต่ก็ ต้องพ่ายแพ้แก่ทศบารมีในที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะความอิจฉาริษยา ที่ตนเองน่าจะได้ลงมาตรัสรู้ก่อน เนื่องจากเห็นว่าตนเองได้บำเพ็ญบารมีมาก่อน แต่กลับไม่มีเทพพรหมองค์ใดทูลเชิญให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อถูกตัดหน้าก็เกิดมิจฉาทิฐิ เลยกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เทพมารองค์นี้ ท่านเป็นเทพพระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง ปัจจุบันท่านละมิจฉาทิฐิแล้ว หลังจากที่ถูกพระอุปคุตเถระเจ้าปราบ และทรมาน นับว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่เราชาวพุทธ ควรเคารพกราบไหว้อีกองค์หนึ่ง
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ในทางพระพุทธศาสนาโดยย่อ ที่ได้มีการบันทึกไว้หลายแห่งในพระไตรปิฎก รายละเอียดในเรื่องนี้ หากสนใจ ก็ลองหาหนังสือเรื่อง “ตะลุยสวรรค์” ของ ท่าน อาจารย์ ว.จีนประดิษฐ์ หรือ สายรุ้ง กรุงธน อ่านกันเอาเอง ท่านผู้นี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ และ เทวดาไว้หลายเล่ม น่าสนใจมากทีเดียว ลองไปหาอ่านกันดู
ต่อจากสวรรค์ ที่มี ๖ ชั้น ก็เป็นชั้นพรหมโลก ซึ่งเป็นคนละแดน คนละภพภูมิเกี่ยวไม่เกี่ยวข้องกัน นี่เป็นแนวสอนของพุทธศาสนา แต่พวกฮินดู หรือ พราหมณ์ ไม่คิดอย่างนั้น ถือว่าพรหม ก็คือ เทวดาชั้นสูง หรือเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ และเชื่อว่ามีองค์เดียว ที่เรียกว่า พระพรหม เป็นผู้สร้างโลก เป็นหนึ่งในสามของ ตรีมูรติเทพ คือ พระอิศวร ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในสวรรค์ เป็นผู้ให้ ผู้ประสาทพร พระนารายณ์ เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่รองลงมา จะเรียกว่า เป็นผู้ช่วย หรือ มือขวาของพระอิศวรก็ได้ เพราะหากมีเหตุร้าย หรือภัยใด ๆ จากพวกอสูร ยักษ์มาร แล้วล่ะก็ ท่านก็จะอวตารลงมาปราบปราม ดังปรากฎในเรื่องราวของท่านในหนังสือ นารายณ์สิบปาง ส่วนอีกท่านหนึ่งที่เป็นผู้ช่วยอีกองค์หนึ่ง มีฐานะทัดเทียมกันกับพระนารายณ์ เป็นมือซ้ายของพระอิศวร ก็คือ พระพรหม ที่พวกฮินดูเชื่อว่า เป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ลิขิตสรรพชีวิตทุกอย่างในโลก ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ ที่เรียกว่า พรหมลิขิต นั่นแหละ
เรื่องของเทวดาชั้นรอง ๆ ลงมา ในความเชื่อของพราหมณ์ หรือ ฮินดู นั้น ยังมีอีกมากมายหลายองค์ เช่น พระพิฒเณศวร์ , พระกฤษณะ, พระพาย, พระอัคนี, พระยม ฯลฯ ฝ่ายหญิงก็มี พระอุมาเทวี , พระสุรัสวดี, พระคงคา,พระลักษมี ฯลฯ เป็นต้น จะไม่ขอเล่ารายละเอียด สนใจ ก็ต้องไปหาหนังสือที่เขียนโดยอาจารย์ที่แนะนำไว้ข้างต้น อ่านกันเอาเอง
สำหรับเทวดาพระเคราะห์ หรือ เทพที่มีหน้าที่กำกับดูแลให้การดำเนินชีวิตของผู้คนที่เกิดมาในโลกนี้ ต้องเป็นไปตามที่เบื้องบน หรือ กรรมเก่าที่เขากำหนดไว้ให้เกิดมาใช้กรรม จัดเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ มีศักดิ์ และสิทธิที่เหนือกว่าเทวดาทั่วไป แต่ละพระองค์ท่านเป็นเอกเทศ ไม่อยู่ในความปกครองของเทพองค์ใด ต่างเคารพยำเกรงซึ่งกันและกัน ไม่ก้าวก่ายกัน ที่เรารู้จักกันแพร่หลาย เพราะมีในบันทึกเก่าแก่ เล่าสู่กันฟังมานาน ก็คือ พระสุริยเทพ (พระอาทิตย์ ) พระจันทร์, พระอังคาร , พระพุธ , พระพฤหัสบดี , พระศุกร์ , พระเสาร์ , พระราหู, และ พระเกตุ มีด้วยกัน ๙ พระองค์ ส่วนอีก ๔ พระองค์ ที่เหลือ และยังมีผู้รู้จักกันน้อยมาก หรือ บางคนอาจจะไม่รู้จักเลย ว่าท่าน ก็มีหน้าที่ในเรื่องของการกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ เช่นกัน คือ พระอินทร์ เทพแห่งการอำนวยพร หรือ เทพแห่งดาวยูเรนัส ที่คนไทยเรียกดาวมฤตยู (เรียกเสียน่ากลัว หมายถึง ความตาย) หรือ ดาวอินทร์ (โหรอินเดียเรียกเช่นนี้), พระวรุณ หรือ พระพิรุณ เทพแห่งสายฝน หรือเทพแห่งท้องทะเลมหาสมุทร เทพประจำดาวเนปจูน หรือ ดาววรุณ , เทพพลูโต หรือ พระยามัจจุราช หรือ พระยายมราช เป็นเทพเจ้าแห่งขุมนรก เป็นเทพแห่งความตาย ทำหน้าที่คร่าวิญญาณมนุษย์ และสัตว์โลกทั้งหลาย และตัดสินความดีความชั่วของวิญญาณที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว หากทำดีก็ส่งไปสวรรค์ หากทำชั่วก็จะทำหน้าที่ลงโทษ โดยส่งไปทรมานในขุมนรกต่าง ๆ ลูกน้องของท่านที่ชาวไทยทุกคนรู้จักกันดี นอกจากยมทูตแล้ว ก็คือ พระกาฬไชยศรี ที่ขี่นกแสก ล่าวิญญาณน่ะแหละ
องค์สุดท้าย ที่จัดเพิ่มเติมก็คือ เทพเจ้าแบคคัส หรือ โสมเทพ ซึ่งชาวฮินดูในบางยุคสมัย ยังสับสนและนึกว่าเป็นองค์เดียวกันกับพระจันทร์ แท้จริงแล้ว หากอ่านและศึกษาประวัติอย่างละเอียด ตลอดจนภาระหน้าที่ต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เป็นคนละองค์กัน เทพองค์นี้ คนไทยเรารู้จักกันน้อย และมีบางคนถึงกับไม่รู้จัก หรือได้ยินชื่อมาก่อนเลย แต่ถ้าเป็นพวกกรีก หรือ โรมัน แม้กระทั่งพวกยุโรปในบางพื้นที่ในปัจจุบัน ต่างก็รู้จักเทพพระองค์นี้ดี ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น และสุราเมรัย เป็นเทพแห่งความสนุกสนานรื่นเริงใจ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความสำเร็จ ที่มีฤทธาอานุภาพไม่น้อยไปกว่าเทพจูปีเตอร์ หรือ พระพฤหัสบดี เลยทีเดียว
รายละเอียดเกี่ยวกับมหาเทพทั้ง ๑๓ พระองค์ จะได้นำมาเสนออย่างละเอียด พร้อมกับนำสถิติดวงชะตา หรือ อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ทั้ง ๑๓ ดวง ที่เทพเหล่านี้สถิต หรือ มีหน้าที่คอยดูแลกำกับอยู่มาให้อ่านกัน เป็นเรื่อง ๆ ทีละองค์ไป จนครบ อย่าพลาดการติดตามนะ เพราะเรื่องเหล่านี้ ใช่ว่าจะหาอ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือ วารสาร ได้ง่ายนัก
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาก lifestyle.kingsolder.com/