ภาชนะ เมลามีน ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
ช่วงนี้กระแสข่าวเรื่อง "เมลามีน" มาแรงเหลือเกิน กลายเป็นความหวาดวิตกในใจ ของเราชาวประชา ว่าอาหารที่ทานๆ กันมาเป็นแรมปี จะมีเมลามีน เป็นของแถมให้อยู่หรือเปล่า ซ้ำหนักยิ่งถ้าเกิดไปปนเปื้อนอยู่ในนม ที่ชงให้ลูกทานอยู่ทุกวี่วัน หัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่คงสลาย แต่ที่แม่สาลิกา จะหยิบยกมา คุยกันในวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นเรื่องเมลามีน ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรอกนะคะ แต่เป็นเมลามีน ที่เราหยิบใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ ภาชนะเมลามีน ไงละคะ ลองไปพินิจพิจารณาดูให้ดี ทั้ง จาน ชาม ทัพพีตักข้าว ถ้วยขนม ถ้วยกาแฟ เมลามีนทั้งนั้น ที่ภาชนะเมลามีนเป็นที่นิยมก็คงเป็นเพราะ ความที่มันมีน้ำหนักเบา (เบากว่าภาชนะแก้ว ภาชนะกระเบื้อง ภาชนะสแตนเลส แน่ๆ) นอกจากนั้นยังทนทาน แตกหักเสียหายยาก ลวดลายสวยงาม ราคาพอประมาณ
มีคำถามว่า ภาชนะเมลามีน ทำมาจากวัสดุอะไร คำตอบก็คือ ภาชนะเมลามีน ทำมาจาก อมิโนเรซิน ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ของเมลามีน กับฟอร์มาลดีไฮด์ เฮ้อ.. ชื่อเรียกยากยัง ไม่เก่งเคมีซะด้วย แต่เอาเถอะค่ะ จะมีชื่อเรียงเสียงอะไรก็แล้วแต่ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ หากเราเอาไปใช้อย่าง ไม่ถูกต้อง เราจะได้รับอันตรายจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจค่ะ (น่ากลัวจัง)
อ้าว แล้วทำไมบนฉลากของภาชนะเมลามีนส่วนใหญ่ มักบอกว่า ทนความร้อนได้มากกว่า 100 องศาเซลเซียส เฮ้อ.. แล้วคุณรู้มั๊ยคะ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แนะนำให้ว่า "เราควรใช้งานภาชนะเมลามีน ที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส" ค่ะ ถ้าจะใช้งานที่อุณหภูมิ ระหว่าง 30-100 องศาเซลเซียส เราไม่ควรคงอุณหภูมิสูงไว้นาน (อย่างนี้ก็เท่ากับว่า เอาชามเมลามีน มาใส่แกงร้อนๆ ก็ยังอันตรายเลยล่ะสิเนี่ย)
ยิ่งถ้าเอาไปใส่อาหารอุ่นใน ไมโครเวฟ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดแล้วหวาดเสียวค่า เพราะมีข้อมูลชี้แจงว่า หากอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟเกิน 2 นาที ที่ระดับกำลังไฟ 900 วัตต์ อาจทำให้สารฟอร์มาลดีไฮด์ แพร่กระจายออกมาได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะเมลามีน ตามความคิดของแม่สาลิกา เราน่าจะมีแนวทางในการใช้งานดังนี้นะคะ
ไม่ควรใช้ภาชนะเมลามีน เพื่อการต้มน้ำ หรืออุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ (หาชามแก้ว หรือชามกระเบื้อง มาใช้เพื่อการอุ่นอาหารเถอะค่ะ) ในกรณีที่จะใส่อาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรวางอาหารพักไว้ก่อนประมาณ 2 นาที จึงนำมาใส่ในภาชนะเมลามีน หรือถ้าทำได้ก็เอาไว้ใส่ของเย็นหรือของที่ไม่ร้อนแล้ว น่าจะดีกว่านะคะ เพื่อชีวิตคนไทย ห่างไกลมะเร็งค่ะ
ที่มา www.thaifooddb.com