Advertisement
❝ โรคปวดหลังที่เราคิดว่ามันธรรมด๊า-ธรรมดานี่แหละ อาจพัฒนาไปถึงขั้นที่ทำให้เราต้องเข้าโรงพยาบาล แถมยังเลยเถิดถึงขั้นผ่าตัดก็มี! ❞
นักแสดงสาว Yvonne Yung Hung มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงอันมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ขณะซ้อมเต้นรำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยจนถึงขั้นต้องหยุดการแสดงไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนนักร้องสาว ลิลี่ อัลเลน ก็เคยพลาดล้ม โดยเอาด้านหลังลงจนต้องขึ้นเวทีด้วยน้ำตา แม้เธอจะยืนกรานว่า The show must go on แต่น้ำตาที่รินไหลทำให้เธอต้องโกหกแฟน ๆ ไปว่าเธอตื้นตันใจกับการแสดงในครั้งนี้มาก
เรื่องอาการปวดหลังนี้มีใช่เรื่องที่อยู่ห่างตัวเราเสียทีเดียว เพราะแค่นั่งผิดท่าหรือเกิดอุบัติเหตุหกล้มก็สามารถทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ ฉะนั้น เราลองมาเช็กสุขภาพกันหน่อยดีมั้ยว่านอกจากอุบัติเหตุแล้ว พฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจผลักดันให้มีอาการปวดหลังเช่นเดียวกัน…
1.ติดแหง็กอยู่กับโต๊ะทำงาน
สาว ๆ ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อยู่ทั้งวี่ทั้งวัน แถมบางคนยังมีเดตไลน์มาจ่อคอหอยอยู่มิได้ขาด อย่างนี้อาการปวดหลังอาจเริ่มแสดงออกมา เพราะทั้งวันสาวเจ้าเล่นพิมพ์งานไม่ได้หยุดหย่อน ครั้นจะยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายก็กลัวจะเสียเวลา ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมแบบนี้นี่เองล่ะที่ทำให้เราทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังในระยะยาว
ทำยังไงดี : พนักงานออฟฟิศทั้งหลาย รวมทั้งคนที่นั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ โปรดจัดท่านั่งเสียใหม่ โดยนั่งให้หลังตรง และนั่งในท่าที่แผ่นหลังด้านล่างแนบชิดกับเก้าอี้ เพื่อช่วยรองรับแผ่นหลังไม่ให้โค้งงอ นอกจากนั้น ลำตัวและศีรษะต้องตั้งตรงไม่โน้มเอียงมาข้างหน้า แต่ถ้าเวลาพูดโทรศัพท์หรือเมาท์กับเพื่อนร่วมงาน สามารถพิงหลังติดกับพนักได้ เพื่อความผ่อนคลาย
อย่างไรก็ดี ควรจะหาเวลาพักสายตาทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง โดยการเดินไปเข้าห้องน้ำหรือไปหยิบเอกสารยังเครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้ผ่อนคลาย เพราะท่านั่งจะเพิ่มแรงกดดันให้แผ่นหลังมากกว่าท่ายืนถึง 40%
2.ขับรถผิดท่า
ชีวิตคนเมืองหลวงบ่อยครั้งต้องขับรถนานถึง 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่ทำงานหรือบ้าน ฉะนั้น ท่านั่งที่เอียงไปข้างหน้ามากเกินไปหรือเอนหลังมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้
ทำยังไงดี : ควรพยายามนั่งหลังตรง ๆ 90 องศา และยืดแขนได้ตามสะดวก ไม่ใช่แขนหดเกร็ง เพราะพนักเก้าอี้อยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป และถ้าเราทำท่านี้ได้เหมือนเป็นวิถีชีวิตประจำวัน รับรองว่าอาการปวดหลังจะไม่ถามหาอย่างแน่นอน
3.ไม่ออกกำลังกาย
บ่อยครั้งที่อาการปวดหลังทำให้เราไม่อยากเดินเหินไปไหนไกล ๆ ยิ่งต้องใช้พละกำลังอย่างการออกกำลังกายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ไม่อยากทำ แต่ตามหลักของงานวิจัยแล้ว เชื่อหรือเปล่าว่าคนที่แอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลาจะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังผ่อนคลายมากถึง 40%
ทำยังไงดี : การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเดินจะช่วยให้สะโพกและเอ็นร้อยหวายทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อจะไม่หดเกร็ง จึงช่วยลดอัตราความเจ็บปวดจากแผ่นหลังได้มากขึ้นเท่านั้น
4.ละเลยการเล่นโยคะ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ทดสอบกลุ่มคนไข้ 101 คนที่มีอาการปวดหลัง โดยแบ่งพวกเขาออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกให้เข้าคลาสเรียนโยคะทุก ๆ สัปดาห์ ต่อด้วยการกลับไปฝึกเองที่บ้าน ส่วนกลุ่มที่สองให้นักกายภาพบำบัดมาช่วยสอนเรื่องการออกกำลังกายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วให้กลับไปฝึกเองที่บ้าน และกลุ่มสุดท้ายให้แค่หนังสือที่ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องอาการปวดหลัง ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกหายปวดหลัง เพราะได้เล่นโยคะคลายกล้ามเนื้อ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่ลองหันมาเล่นโยคะดูก็ดีนะคะ
ทำยังไงดี : ใครที่ออกกำลังกาย แต่เมินเฉยต่อการเล่นโยคะ โปรดรับรู้ไว้ว่ากีฬาประเภทนี้ เหมือนยาวิเศษที่ช่วยรักษาโรคปวดหลังได้ยังไงยังงั้นเลย ฉะนั้น ควรหาหนังสือหรือวิธีดี สอนโยคะ รวมทั้งเข้าคลาสเรียนโยคะอย่างจริงจัง ก็ดีเหมือนกันนะคะ
5.บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไป
ซึ่งท่ากายบริหารอย่างชิตอัพและครันช์ นอกจากจะไม่ช่วยให้แผ่นหลังแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดขึ้นมาได้ด้วย
ทำยังไงดี : ถ้าจะชิตอัพหรือทำท่าครันช์ควรทำช้า ๆ และทำอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นหากกล้ามเนื้อหน้าท้องที่มีหน้าที่พยุงกล้ามเนื้อหลังเกิดอักเสบหรืออ่อนแอขึ้นมา จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดตามไปด้วย
6.กินแต่ของไม่มีประโยชน์
นักวิจัยชาวฟินแลนด์บอกว่าอาหารที่ดีและมีประโยชน์ จะช่วยให้หลอดเลือดลำเลียงสิ่งมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ในทางกลับกันคนที่ชอบกินอาหารขยะ จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน ยิ่งถ้าไปอุดตันบริเวณกระดูกสันหลังด้วยแล้วละก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้
ทำยังไงดี : หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และหลีกหลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมาแล้วหลายขั้นตอน เช่น อาหารจำพวกแช่แข็ง และอาหารที่ใส่สารกันบูด แต่ควรหมั่นกินอาหารจำพวก ธัญพืช นมถั่วเหลือง ถั่ว และโปรตีน เช่น ไก่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน ผักสด และผลไม้สด
7.ถือกระเป๋าไซส์ใหญ่ยักษ์
ในความกิ๊บเก๋นั้นพ่วงมากับภัยจากการทำร้ายกล้ามเนื้อไหล่ และลามไปสู่แผ่นหลัง โดยเราอาจไม่เคยเฉลียวใจแม้แต่น้อย
ทำยังไงดี : แค่เปลี่ยนทรงกระเป๋าหรือใส่ของให้น้อยลงหน่อย ทางที่ดีถ้าแบ่งเป็นสองกระเป๋าได้ก็ยิ่งดีใหญ่
8.ใช้ฟูกเก่ายับเยิน
ถ้าฟูกบนเตียงมีอายุการใช้งานนานเกิน 10 ปี ก็ควรหาฟูกใหม่มาเปลี่ยนได้แล้วล่ะ ซึ่งฟูกที่ดีควรเป็นฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนยวบจนเกินไป แต่ควรเลือกฟูกที่นอนแล้วทำให้หลับสบาย
ทำยังไงดี : เมื่อได้ฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนมากเกินไปแล้ว เวลานอนราบควรใช้หมอนหนุนใต้เข่า เพื่อให้แผ่นหลังแนบชิดกับตัวฟูก เพื่อป้องกันอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนใครที่ชอบนอนตะแคงก็เอาหมอนข้างมาเสียบกลางหว่างขา เพื่อความสะดวกสบายในการนอนของคุณ
9.ใส่ส้นสูงเดินทั้งวัน
จะทำให้หลังโค้งงอและกระดูกสันหลังทำงานหนักมากขึ้น นอกจากนั้นการยืนบนส้นสูงแบบเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้แผ่นหลังมีอาการปวดได้
ทำยังไงดี : ควรหารองเท้าแตะมาเปลี่ยนเวลาอยู่ในที่ทำงาน รวมทั้งหาแผ่นรองเท้านุ่ม ๆ มาเสริมรองเท้าคัตชู หรือรองเท้ากีฬาเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังที่มีอยู่ได้
10.ฝืนคิดว่าตัวเองยังสบายดีอยู่ ทั้ง ๆ ที่มีอาการปวดหลังเหลือเกิน
ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรสซาลินด์ แฟรงคลินระบุว่าคนที่ยอมรับความเจ็บปวดด้วยใจชื่นบาน มีแนวโน้มจะจัดการกับอาการปวดหลังได้ดีกว่าคนที่พร่ำบอกตัวเองว่ายังไหวอยู่
ทำยังไงดี : พยายามคิดในแง่ดีว่าอาการปวดหลังที่เป็นอยู่นี้จะค่อย ๆ หายไปในที่สุด แม้ตอนนี้จะเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อสบายตัวเป็นที่สุดก็ตาม
11.เป็นคนประเภทแค้นฝังหุ่น
ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็ง เพราะความเครียดความทุกข์ และความชิงชังแล้ว แต่ยังทำให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดด้วย
ทำยังไงดี : ก็แค่ให้อภัย เพราะการให้อภัยและปล่อยวางความแค้น จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจเบาสบาย รวมทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย
12.เครียดมาราธอน
ดูเหมือนวิถีชีวิตคนเราในปัจจุบัน จะพ่วงมากับความเครียดอยู่ตลอดเวลา ไหนจะรถติด มีประชุม งานกองสุมเป็นพะเนิน ทั้งหมดจะส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียดอยู่ตลอดโดยไม่เคยได้ผ่อนคลาย จึงทำให้ปวดหลังได้ง่าย ๆ
ทำยังไงดี : ก็แค่หมั่นหัวเราะให้จิตใจเบาสบาย กล้ามเนื้อจะได้ผ่อนคลาย ส่วนคนที่มีเวลาหน่อยก็ไปออกกำลังกาย ไม่ก็หาหนังสือดี ๆ มาอ่าน ที่สำคัญควรหาเพลงสบาย ๆ มาฟัง เพราะการฟังเพลง จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และส่งผลให้อาการปวดหลังทุเลาลงไปได้
13.ดูทีวีทั้งวี่ทั้งวัน
บางคนอาจจะใช้เวลาจ้องหน้าจอได้ถึงครึ่งวันโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และการทำอย่างนี้จะทำให้แผ่นหลังของเราโค้งงอ เพราะนั่งในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นเวลานาน ๆ
ทำยังไงดี : ควรจำกัดเวลาในการดูทีวีของตัวเองแล้วหาเวลาออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้านบ้าง
Did You Know
56% ของชาวอเมริกันมีอาการปวดหลัง จนเรียกได้ว่ารบกวนวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการนอนไม่หลับและมีเซ็กซ์ไม่สุขสม แล้วอาการปวดหลังยังเป็นหนึ่งในห้าสาเหตุที่ชาวอเมริกันป่วย จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล นอกจากนั้น อาการปวดหลังยังเป็นต้นเหตุให้ชาวอเมริกันต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน
ที่มา :: LISA
Advertisement
เปิดอ่าน 38,064 ครั้ง เปิดอ่าน 11,747 ครั้ง เปิดอ่าน 10,456 ครั้ง เปิดอ่าน 9,021 ครั้ง เปิดอ่าน 15,695 ครั้ง เปิดอ่าน 9,375 ครั้ง เปิดอ่าน 22,512 ครั้ง เปิดอ่าน 44,146 ครั้ง เปิดอ่าน 10,681 ครั้ง เปิดอ่าน 11,102 ครั้ง เปิดอ่าน 13,313 ครั้ง เปิดอ่าน 504 ครั้ง เปิดอ่าน 22,974 ครั้ง เปิดอ่าน 14,907 ครั้ง เปิดอ่าน 8,731 ครั้ง เปิดอ่าน 25,878 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 10,390 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 26,723 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 12,028 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 14,844 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 20,490 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 32,914 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 14,467 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 23,160 ครั้ง |
เปิดอ่าน 2,940 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,990 ครั้ง |
เปิดอ่าน 16,085 ครั้ง |
เปิดอ่าน 27,357 ครั้ง |
|
|