Advertisement
❝ ฟฟฟฟฟฟฟฟ ❞
เคยสงสัยไหมว่าสารพัดพิธีกรรม ที่ต้องทำในงานแต่งงานนั้นทำไปเพื่ออะไร บางเรื่องก็มีเหตุผลละเอียดซับซ้อน อย่างคาดไม่ถึง หากคุณเข้าใจนัยยะ ที่แอบซ่อนอยู่ในการกระทำเหล่านั้น ทุกวินาทีในวันสำคัญของคุณ จะมีความหมายขึ้นอีกร้อยเท่าพันทวี
1. ทำไมชุดเจ้าสาวต้องเป็นสีขาว?
ก่อนปีค.ศ. 1840 ชุดเจ้าสาวเป็นเพียงชุดที่ดีที่สุด เท่าที่มีอยู่ และสีสันสำหรับชุดเจ้าสาว ล้วนต่างกันออกไป เช่น ในศตวรรษที่ 16-17 เจ้าสาววัยทีนนิยม สวมเจ้าสาวสีเขียวอ่อน สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ หากอายุเกิน 20 ปีมักใช้สีน้ำตาล และถ้าเป็นสาวแก่ อายุมากหน่อย อาจเป็นเจ้าสาวในชุดดำเลยก็ได้ มาถึงต้นศตวรรษที่ 18 มีแต่เจ้าสาวผู้ยากไร้เท่านั้น ที่สวมชุดแต่งงานสีขาว เป็นการประกาศทางอ้อม แก่สาธารณชนว่า ตัวเธอไม่มีสมบัติใดติดตัวแต่งงานเลย แต่แล้วสตรี ผู้พลิกโฉมหน้าใหม่ ให้กับชุดเจ้าสาวอันส่งผลกระทบ ไปทั่วโลกตราบจนปัจจุบัน คือควีนวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ผู้เข้าพิธีอภิเษกสมรส กับเจ้าชายอัลเบิร์ตในปีค.ศ. 1840 ฉลองพระองค์ชุดแต่งงาน ตัดเย็บจากผ้าซาตินสีขาว ประดับด้วย ดอกส้มผลิบาน และราชินีผู้เป็นศิลปิน ทรงร่างแบบเวลด้วยพระองค์เอง (ทรงแหกกฎที่บังคับ ให้เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีเงิน) งานนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ภาพเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวงามสง่า กับพิธีแต่งงานในโบสถ์ ซึ่งสวยงามราวกับเทพนิยาย ได้กลายเป็นภาพที่สาวๆ ทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะเป็น ดังนั้น ตอบคำถามได้อีกข้อว่า
2. ทำไมชุดเจ้าสาวถึงต้องดูเหมือนชุดเจ้าหญิงในเทพนิยาย
สืบเนื่องมาจากภาพตราตรึงใจ (เหนือกาลเวลา) ในพิธีอภิเษกสมรสของควีนวิกตอเรีย ส่งให้ชุดแต่งงาน ในลุคเจ้าหญิง ยังคงฮิตไม่สร่าง ข้ามศตวรรษอย่างนี้ ข่าวดีสำหรับสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยากแปลงกายเป็นเจ้าหญิงชั่วข้ามคืน เมื่อวอลท์ ดิสนีย์ ปิ๊งไอเดียให้ทีมดีไซเนอร์ออกแบบชุดแต่งงาน ตามคาแรคเตอร์ของอมตะการ์ตูนดัง ในสังกัด อาทิ ซินเดอเรลลา สโนไวท์ เจ้าหญิงนิทรา เงือกน้อยแอเรียล โฉมงามกับเจ้าชายอสูร เป็นต้น สนนราคาประมาณ 1,100 – 3,400 เหรียญ สหรัฐ!!! สาวไหนสนใจอยากครอบครองสักชุด อย่าลืมเช็กขนหน้าแข้งว่าที่สามีก่อนสอย
3. ทำไมต้องมีแหวนแต่งงาน
สมัยนี้แหวนหมั้น หรือแหวนแต่งงานเป็นหลักประกันของความรัก แต่สมัยก่อนนั้น เป็นการตีตราจองผู้หญิงว่า จะเป็นสมบัติของผู้ชาย บอกเป็นนัยว่าผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ
4. ทำไมต้องสวมแหวนนิ้วนางข้างซ้าย
เชื่อกันว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายมีเส้นเลือดดำที่ต่อตรงสู่หัวใจ ชื่อว่า vena amoris หรือ vein of love แต่ในบางประเทศ สวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวา เช่น โคลอมเบีย เยอรมัน นอร์เวย์ เปรูโปแลนด์ รัสเซีย เซอร์เบีย สเปน เวนเนซูเอลา ฯลฯ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละวัฒนธรรม
5. ทำไมต้องสวมเวล
สมัยนี้การสวมเวล เป็นเรื่องของความสวยงาม มากกว่าความเชื่อ อย่างคนสมัยก่อน ซึ่งเจ้าสาวสวมเวลคลุมหน้าไว้ เพื่อป้องกันปิศาจร้าย ไม่ให้มองเห็นความงามของเธอ และยังเป็นกุศโลบาย สำหรับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ซึ่งบ่าวสาวจะไม่ได้เห็นหน้ากัน จนกว่าเจ้าบ่าวจะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก ถ้าหากว่าเจ้าสาวไม่งามดั่งเทพวีนัส ก็สายเกินแก้แล้วที่เจ้าบ่าวจะปฏิเสธ ในขณะที่ศาสตร์จิตวิทยาอธิบายว่า การซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุม เป็นการเพิ่มความน่าเสน่หา ในตัวเจ้าสาวต่อเจ้าบ่าวยิ่งขึ้น
6. ทำไมต้องมีเพื่อนเจ้าสาว
ความเชื่อเรื่องปิศาจ (หรือผู้ร้าย) จะมาล่อลวงหญิงงาม ยังตามหลอกหลอน ความเชื่อของมนุษย์ไปเสียทุกงาน ในพิธีแต่งงาน จึงต้องมีเพื่อนเจ้าสาว เป็นตัวหลอกล่อให้ปิศาจงงเต้กว่า สาวสวยคนใดเป็นเจ้าสาวกันแน่ (ซึ่งเชื่อว่า ต้องสวยที่สุดในวันนั้น) เพื่อนเจ้าสาวต้องแต่งตัวสวยงาม แต่ต้องสวยน้อยกว่าเจ้าสาวด้วยนะ
7. ทำไมเค้กแต่งงานต้องเป็นชั้นๆ
ประเพณีของชาวแองโกล-แซ็กซอน มักหอบหิ้วขนมเค้กชิ้นจ้อย มาช่วยงานแต่งของเพื่อนบ้าน และมาถึงก็ วางซ้อนๆกัน พ่อครัวหัวใสชาวฝรั่งเศส เลยคิดทำขนมเค้กเป็นชั้นๆ เสียเลย
8. ทำไมต้องฮันนีมูน
ความหมายของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในยุคโบราณ มาจากการลักพาตัวหญิง ที่หมายปองไปซ่อนตัวและรอจนครอบครัว ฝ่ายผู้หญิงท้อจะตามหา คู่รักดักอุ้ม จึงค่อยออกมาจากที่ซ่อน มาจากเรียกพฤติกรรมนี้ในภาษานอซ (Norse) ของชาวนอร์เวย์ว่า “hjunottsmanathr” ซึ่งหมายถึงความสุขสำราญใจ แต่ตำนานแถบยุโรปเหนือว่ากันว่า คำว่า honeymoon เป็นคำเปรียบเปรย ชีวิตคู่ว่าขึ้นลงเหมือนพระจันทร์ และในช่วงเดือนแรกของการแต่งงานนั้น ย่อมหวานหยดกว่าช่วงอื่น เป็น month of honey
บางตำนานก็ว่า เป็นประเพณีที่ในเดือนแรก คู่แต่งงานต้องดื่มเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของร่างกาย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับ การไปเที่ยวเลย จนมาถึงศตวรรษที่ 19 หลังพิธีแต่งงาน ชนชั้นสูง ในยุโรป มักเดินทางไปเยี่ยมญาติ ที่ไม่ได้ร่วมงานแต่งตามเมือง หรือประเทศต่างๆ สุดท้ายแล้ว ช่วงเดือนแห่งวันชื่นคืนสุขนี้ หมายถึงการพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศของคู่แต่งงานนั่นเอง |
|
วันที่ 19 พ.ย. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,166 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,153 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,468 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,227 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,147 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 9,142 ครั้ง |
เปิดอ่าน 38,336 ครั้ง |
เปิดอ่าน 8,737 ครั้ง |
เปิดอ่าน 20,928 ครั้ง |
เปิดอ่าน 9,082 ครั้ง |
|
|