มาถึงต้นของวันที่ 10 กันยายน คดีเริ่มคืบหน้าแล้วใกล้ได้ตัวคนร้าย เมื่อตำรวจได้รับข้อมูลจากชายคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "จอห์น" เขามีข้อมูลเด็ดๆ เกี่ยวกับการคดีฆาตกรรมที่วัด ต่อมาตำรวจจึงรู้ว่า "จอห์น" คือ ไมค์ แม็คกรอว์ ซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งทูซอน แม็คกรอว์พูดว่ามีผู้ต้องสงสัยเป็นชายสี่คนจากย่านทูซอนคือ ไมค์ แม็คกรอว์, ดันเต ปาร์คเกอร์, มาร์ค นูเนช และลีโอ บรูซ ซึ่งทั้งหมดได้รับฉายาว่า “แก๊งทูซอน” มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ด้วยข้อมูลนี้เองทำให้ ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทูจากซอนสี่คนในวันที่ 13 และ 14 โดยทางการตั้งข้อหาทั้งสี่คนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่วัดพรหมคุณาราม
ทั้งสี่คนจึงถูกจับกุมและถูกนำตัวมาสอบสวน ที่ศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยเฉพาะกิจที่เมืองฟีนิกซ์ การสอบสวนดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดและกดดันเพราะคดีนี้ได้รับความสนใจจากทั้งสองประเทศ โดยมีนักสืบแพทริก ไทรเล่ย์ นักสืบเดวิด มันเล่ย์ และนักสืบริค ซินซาบอห์และผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนช่วยสอบสวน ผลคือทั้งหมดยอมรับสารภาพและซัดทอด จนได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก
วันที่ 10 กันยายนวันเดียวกัน ตำรวจได้ทำการค้นหาหลักฐานเป็นอาวุธสังหารจากการค้นหา ตำรวจรวบรวมปืนยาวมาร์ลินมาได้ 96 กระบอก ซึ่งจะต้องทำการทดสอบต่อไป ปืนยาวของคาราตาเซียยังไม่ได้ถูกสางไปยังแผนกความปลอดภัยสาธารณชนเพื่อการทดสอบ
ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม ไมค์ แม็คกรอว์, ดันเต ปาร์คเกอร์, มาร์ค นูเนช และลีโอ บรูซ ถูกตั้งข้อหาว่ากระทำการฆาตกรรม
วันที่ 22 ตุลาคม ตำรวจ ได้ตรวจสอบปืนยาวของคาราตาเซีย และสรุปว่าเป็นปืนที่ใช้ในการฆาตกรรม
ในวันที่ 24 ตุลาคม คดีก็เริ่มคืบหน้าขึ้น เมื่อตำรวจสามารถระบุอาวุธปืนยาวสังหารได้ โดยคาดว่าอาวุธเป็นปืน 2 กระบอกกระบอกแรกเป็นปืนยาว .22 คาลิเบอร์ผลิตโดยบริษัทมาริ์ลิน(ปืนยาวปืนยาวกึ่งอัตโนมัติมาร์ลิน ขนาด.22 โมเดล 60) ตำรวจจึงออกออกประกาศ แจ้งตำรวจทั้งหลายเพื่อหาเบาะแสดังกล่าว
วันที่ 21 สิงหาคม ทางตำรวจได้ผู้ต้องสงสัย ชื่อนายโรแลนโด คาราตาเซีย จูเนียร์ เคยถูกจับที่ฐานทัพอากาศลุค เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ในข้อหามีอาวุธปืนนี้ในครอบครอง
ในวันที่ 10 กันยายน ตำรวจไปสอบสวนคาราตาเวียถึงที่ทำงาน และตรวจสอบอพาร์ทเมนท์ ตำรวจพบปืนยาวเลขทะเบียน 11319753 จึงยึดเป็นของกลางและผลตรวจสอบในเวลาต่อมาคือปืนนี้เป็นกระบอกเดียวกันที่ใช้สังหารหมู่พอดี
ในวันที่ 25 ตุลาคม เจ้าหน้าที่เชิญตัวคาราตาเซียมาสอบถาม ตอนแรก คาราตาเซีย อ้างว่าเขาให้อเล็กซ์ การ์เซีย และโจนาธาน ดูดี้ ยืมปืนยาวไปเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะคืนมาประมาณสองสามวันหลังจากนั้น คาราตาเซียยืนยันว่าเขาไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปืนเขาทั้งสิ้น
หลังจากนั้น ตำรวจจึงเชิญดูดี้และการ์เซียก็ถูกตามตัวมาสอบถาม ซึ่งการสอบสวนนี้การ์เซียสามารถได้ยินการซักถามดูดี้ในห้องข้าง ๆ ได้ ผลการสอบสวนการ์เซียยอมรับว่าได้ขอยืมปืนยาวของคาราตาเซียไปจริง และเมื่อเขาได้ยินว่ามันเป็นปืนที่ใช้ก่อเหตุสังหารโหด การ์เซียจึงขออ้างสิทธิ์ไม่พูดอะไรทันที ทำให้การสอบถามต้องระงับลง ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าค้นบ้านของการ์เซียและยึดปืนลูกซองมาได้กระบอกหนึ่ง
ทางด้านโจนาธาน ดูดี้ ถูกสอบปากคำเวลาสามทุ่มยี่สิบห้านาที (ก่อนการสอบถามการ์เซีย) การสอบสวนดำเนินตลอดทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก(12 ชั่วโมง)ในห้องขนาด 10 คูณ 18 ฟุต ซึ่งไม่มีหน้าต่าง ในห้องมีแค่เก้าอี้พนักตรงไม่มีที่ท้าวแขนสามตัวและมีไมโครโฟนซ่อนอยู่ ไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่จะช่วยหรือแนะนำเขาเลย และผ็สอบปากคำมีนักสืบไรเล่ย์ นักสืบมันเล่ย์ และนักสืบชินซาบอห์เป็นผู้ซักถามโดยร้อยเอกไวท์เข้ามาส่วนซักถามเป็นช่วง ๆ การสอบสวนนี้มีการบันทึกเทปไว้ซึ่งต่อมามีการถอดเทปออกมา ผลการสอบสวน
เทคนิคการสอบถามทุกอย่างถูกนำมาใช้กับ โจนาธาน ดูดี้ มีทั้งการกระตุ้น เตือน ตำหนิ อ้างถึงเกียรติยศหน้าที่และความเป็นลูกผู้ชาย การสัญญาว่าจะคุ้มครองตัวเขาและบุคคลที่เขารัก การหลอกว่าคนอื่นสารภาพหมดแล้ว จนในที่สุดหลังจากการสอบถามติด ๆ กัน หลายชั่วโมง โจนาธานจึงยอมรับว่าเขาและการ์เซียเคยยืมปืนยาวของคาราตาเซียไปครั้งหนึ่ง แต่ยืมและคืนไปก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมที่วัดพรหมคุณาราม
จากนั้นโจนาธานก็ได้รับทราบจากพนักงานสอบสวนเรื่องปืนยาวนั้นใช้ฆ่าพระที่วัดพรหมคุณาราม
การสอบสวนยังดำเนินต่อไป จนถึงตีสาม ร้อยเอกไวท์เข้ามาร่วมซักถามด้วยกับนักสืบมันเล่ย์ นักสืบซินซาบอห์ และนักสืบไรเล่ย์ และบอกว่าได้ควบคุมกลุ่มสี่คนจากทูซอนแล้ว ถ้าโจนาธานมีสติปัญญาและความรักพวกพ้องอย่างชายชาติทหารจริง เขาควรรับสารภาพซะ
ผลคือโจนาธานยอมรับสารภาพ เพียงแค่นี้ตำรวจก็รู้แล้วว่า โจนาธาน ดูดี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสังหารหมู่ครั้งนี้แน่นอน
โจนาธาน ดูดี้ และ อเล็กซ์ การ์เซีย
( Jonathan Doody & AlexGarcia)
เรามาดูประวัติโจนาธาน ดูดี้ สักหน่อยว่าเขามีแรงจูงใจในการสังหารโหดหรือไม่ โจนาธานเป็นไทย มีชื่อไทยว่า วีรพล คำแก้ว เกิดเมื่อ ค.ศ. 1974 เมื่อเขาอายุ 5 ขวบเขาอยู่กับพ่อแม่ที่จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ช่วงนั้นเขาได้เห็นพ่อของเขาตายต่อหน้าต่อตาเขา คือพ่อเป็นโรคเลือดไหลกะทันหัน เลือดสดๆ ออกจากหู ปาก และจมูก ทำให้เด็กชายดูดี้ตกใจกลัวและช็อกเรื่องนี้พักหนึ่ง
ต่อมา หนึ่งเดือนหลังจากพ่อของเขาตาย แม่ของดูดี้ก็ออกไปทำงานในต่างประเทศที่เยอรมันนี ซึ่งที่นั้นพี่สาวของเธอแต่งงานกับทหารอเมริกันและอาศัยที่นั้นมาก่อนแล้ว ทิ้งโจนาธานให้อยู่กับป้าที่นอกเขตกรุงเทพมหานคร
สามปีหลังจากนั้นแม่ของดูดี้ก็ไม่ได้ติดต่อหาดูดี้แม้แต่น้อย ซึ่งในช่วงนั้นแม่ของดูดี้ได้พบรักกับไบรอัน ดูดี้ ซึ่งเป็นมหารอเมริกันในเยอรมันและแต่งงานกัน ทั้งๆ ที่แม่ของดูดี้พูดภาษาต่างประเทศไม่ชัด(หรือไม่ได้เลย)
เดือนกรกฎาคม ค.ศ.1982 แม่ของดูดี้กับสามีใหม่กลับมาประเทศไทยโดยไม่ได้บอกโจนาธานเลยว่าจะมา และก็รับช่วงดูแลดูดี้ต่อจากป้า พาเขาไปเลี้ยงต่อที่เยอรมันในวันถัดมาที่มาถึงเลย
ครอบครัวของดูดี้อยู่ที่เยอรมันนีประมาณครึ่งปี ก่อนที่พ่อเลี้ยงของเขาจะถูกย้ายไปประจำการที่จอร์เจีย ที่นั้นพ่อเลี้ยงก็รับเขาเป็นบุญธรรม และ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโจนาธาน ดูดี้
ในค.ศ.1985 ไบรอันถูกย้ายไปเกาหลี แต่ดูดี้และแม่ยังอยู่ในจอร์เจีย ปีต่อมาไบรอันถูกย้ายไปเกาะกวมและดูดี้และครอบครัวก็ย้ายตามไปด้วย หลังจากนั้นใน ค.ศ. 1989 ไบรอันย้ายไปประจำที่ฐานทัพอากาศ ลุค ซึ่งเป็นที่ที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในขณะที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่วัดพรหมคุณาราม ซึ่งวัดที่เกิดเหตุนั้นดูดี้รู้จักดีเลยแหละ เพราะน้องชายของเขาชื่อเดวิดบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดนั้น และแม่ของเขาเป็นคนทำอาหารเลี้ยงพระด้วย
ในด้านชีวิตส่วนตัวของ โจนาธาน ดูดี้ นั้น เนื่องจากการย้ายบ้านหลายประเทศทำให้ความสามารถในด้านภาษาเขาไม่ค่อยดีมากนัก การสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่ไม่ดีเลย เขาพูดได้แต่ภาษาพื้นๆ เท่านั้น อีกทั้งภาษาไทยก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ สาเหตุก็เนื่องมาจากเขาจากเมืองไทยไปเมื่อ 8 ขวบ และพ่อเลี้ยงห้ามเขาพูดภาษาไทยในบ้าน ที่จะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ถึงระดับที่จะใช้การได้ดีเลย ทั้งการสื่อสารในภาษาไทยก็ไม่ค่อยได้เรื่องนัก เพราะเขาจากประเทศไทยมาตั้งแต่อยู่ 8 ขวบ และพ่ออเมริกันของเขาก็ห้ามพูดไทยในบ้าน (เจ้าหน้าสอบสอนลำบากมากเหมือนกันในการสื่อสารกับดูดี้ในการเชิญมาสอบปากคำ)
ถึงแม้ด้านภาษาของโจนาธาน ดูดี้จะไม่ดีนัก แต่ด้านการใช้ชีวิตแล้วเขาทำได้ดีเลย โจนาธาน ดูดี้เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมอกัวเฟรีย เป็นเด็กสุภาพซึ่งผู้คนต่างเห็นในลักษณะนั้น เขาชอบเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมายเช่นเป็นผู้บังคับการหน่วยอาสาสมัครรักษาดินแดนและยังเป็นสายตรวจพลเรือนของกองทัพอากาศด้วย โดยในตอนที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปพบเขานั้นโจนาธานยังอยู่ในเครื่องแบบโดยทำหน้าที่เป็นหน่วยป้องกันอาสาสมัคร ขณะมีการแข่งขันฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมอกัวเฟรียอยู่
กลับมาที่การสอบสวนประมาณตีสี่ โจนาธานบอกพนักงานสอบสวนว่ากลุ่มสี่คนจากทูซอนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ตอนแรกอ้างว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุจึงไม่รู้ว่าใครสังหาร นอกจากนี้ยังมีชื่อที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากอีก ไม่ว่าจะเป็น รอลลี่ คาราตาเซีย, อเล็กซ์ การ์เซีย, จอร์จ กอนซาเลซ(เพื่อนของอเล็กซ์ที่ทั้งสองไปพักก่อนวันเกิดเหตุ) เพื่อนของกอนซาเลซคนหนึ่งซึ่งโจนาธานไม่รู้ชื่อ และตัวเขาเองรวมเป็น 5 คน
การ์เซียและโจนาธานถูกจับกุมหลังจากการสอบถามเสร็จสิ้น มีการตั้งข้อหาหลายข้อด้วยกัน มีทั้งฆ่าคนตายโดยเจตนา ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ ลักทรัพย์ และซ่องโจร ฯลฯ คาราตาเซียถูกจับด้วยข้อหาลักทรัพย์ ในรายอื่น ๆ พ่วงเข้าด้วย กลุ่มสี่คนจากถูกปล่อยตัวโดยยกเลิกข้อหาทั้งหมด ต่อมาคดีนี้ถูกโอนไปศาลชั้นต้นแทนที่จะเป็นศาลสำหรับผู้เยาว์ เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการให้วัยรุ่นทั้งสองรับโทษประหารชีวิต
กระบวนการพิจารณาการสอบสวนของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าคำรับสารภาพของอเล็กซ์ การ์เซียและของโจนาธานนั้น ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
อเล็กซ์ การ์เซียสารภาพแรงจูงใจการสังหารหมู่ครั้งนี้ว่า ตอนแรกเขาและอเล็กซ์ไม่ได้คิดฆ่าใครทั้งสิ้น เรื่องของเรื่องคือเขามีรถฟอร์ดเอสคอร์ทอยู่คันหนึ่ง แต่เขาอยากได้รถฟอร์ดมัสแตงจีทีที่มาร์วิน คุก เป็นเจ้าของ ซึ่งถ้าเขาจะซื้อรถคันนั้น เขาจะต้องมีเงินถึงสองพันดอลลาร์ (พร้อมกับแลกรถเอสคอร์ท)โจนาธานอยากได้รถคันนี้มากๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไง จนกระทั้งเดือนมิถุนายน ดูดี้ได้ชวนอเล็กซ์ การ์เซียเพื่อนของเขาว่าพวกเขาควรจะปล้นวัดพรหมคุณารามเพื่อหาเงิน ตอนแรกอเล็กซ์คิดว่าดูดี้พูดเล่น แต่เมื่อดูดี้พูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและจริงๆ จัง จนกระทั้งทั้งสองเริ่มวางแผนนี้จนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเดือนกรกฎาคม
โจนาธานและอเล็กซ์วางแผนอย่างละเอียด เขาสอบถามเดวิดในขณะไปเยี่ยมที่วัดเกี่ยวกับรายละเอียดของวัด โดยตอนแรกโจนาธาน ดูดี้วางแผนว่าเขารอจนกว่าเดวิดจะสึกก่อนค่อยปล้น เพื่อที่เดวิดจะได้ไม่เห็นหน้าพวกเขาและเป็นพยานปรับปรำ (เดวิดได้ลากลับบ้านไปแล้วหลายสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม)
โจนาธานและอเล็กซ์วางแผนปล้นในคืนวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1991 โดยก่อนหน้านั้นสองวัน พวกเขาขอยืมปืนยาว .22 คาลิเบอร์ จากคาราตาเซีย โดยให้อเล็กซ์เป็นคนขอยืมปืนเพราะเขาสนิทกับคาราตาเซียมากกว่า นอกจากนั้นอเล็กซ์ยังยืมปืนลูกซองยาวจากพ่อของเขาโดยอเล็กซ์จะใช้ปืนนั้น และโจนาธานจะใช้ปืนยาว .22
สัปดาห์หนึ่งก่อนวันที่ 9 สิงหาคม โจนาธาน ดูดี้ ปฏิเสธนัดของแบรนดอน เบอร์เนอร์ เพื่อนร่วมโรงเรียน โดยบอกว่าวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมนี้เขาไม่ว่าง เพราะเขาและอเล็กซ์จะไปปฏิบัติการ "อินทรูชั่นอเลิร์ท" ใกล้ ๆ วัดพุทธ
ในวันที่ 9 สิงหาคม โจนาธานได้ตกลงซื้อขายรถกับมาร์วิน คุก และมอบรถฟอร์ดเอสคอร์ทให้คุก แต่โจนาธานยังไม่ได้จ่ายเงินคุกอีกสองพันดอลลาร์(ในเวลาต่อมาถึงได้อีกครึ่งหนึ่ง)
ในตอนเย็นวันที่ 9 สิงหาคม โจนาธานและอเล็กซ์นัดพบกันก่อนที่บ้านเพื่อน และออกจากบ้านเพื่อนเวลาประมาณสามทุ่ม พวกเขาขับรถไปที่สวนไม้ผลแห่งหนึ่ง ระหว่างถนนคาเมลแบ็คและอินเดียนสกูลและพวกเขาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าลายพราง และขับรถวนเวียนอยู่แถววัดหลายครั้ง
จากนั้นพวกเขาได้จอดรถและกำลังเข้าไปที่วัด แต่เจอพระรูปหนึ่งกำลังออกมาโทรศัพท์ พวกเขาจึงหลบออกไปก่อนและกลับมาใหม่หลังจากนั้นประมาณ 5 -10 นาที
โจนาธานและอเล็กซ์พวกเขาเข้าไปในวัด และบอกคนในวัดว่าตัวเองเป็นตำรวจ และต้อนคนไปรวมกันที่ห้อง ๆ หนึ่ง ขณะที่อเล็กซ์คุมพวกพระสงฆ์อยู่นั้น โจนาธานก็ได้ค้นหาและขโมยค่าในห้องต่าง ๆ และต่อมาโจนาธานก็เปลี่ยนคิวกับอเล็กซ์และให้อเล็กซ์ไปค้นหาของมีค่าต่อ
ของที่มีค่าที่โจนาธานและอเล็กซ์ขโมยไปคือ กล้องถ่ายรูปหกตัว เครื่องเล่นชีดีหนึ่งเครื่อง เครื่องสเตริโอแบบหิ้วถือสองเครื่อง เครื่องเพชร กระเป๋าสตางค์หลายใบ มีดเล่มหนึ่ง เครื่องตรวจจับสัญญาณของตำรวจและเงินสดอีก 2650 ดอลลาร์
ต่อมาแม่ชีคนหนึ่งตื่นนอนขึ้นมา อเล็กและโจนาธานเห็นจึงพาแม่ชีรวมกับคนอื่นๆ ที่เหลือแปดคน บังเอิญหนึ่งในนั้นจำหน้าโจนาธานได้ ทำให้สองคนตัดสินใจที่จะฆ่าเหยื่อ โดยหลังจากเอาของมีค่าไปใส่รถแล้วพวกเขาจึงยิงเหยื่อ โดยโจนาธานใช้ปืนยาว .22 คาลิเบอร์ ยิงหัวเหยื่อทั้งหมดสิบเจ็ดนัดที่ด้านหลังเสมือนทหารรับจ้างจัดการกับเชลยยังไงอย่างงั้น จากนั้นทั้งสองจึงออกจากที่เกิดเหตุ จนกระทั้งเช้าวันที่ 10 สิงหาคม สิบโมงครึ่ง ศพทั้งหมดในวัดก็ถูกพบโดยคนในวัดสองคน
(ติดตามตอนต่อไป)
ที่มาwriter.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=378