2012 ไม่เชื่ออย่าประมาท
ลำพังดูทีเซอร์หนัง กับฟังข้อมูลอันน่ากลัว ก็ยังไม่อยากให้ปักใจเชื่อว่า อีก 3 ปีโลกจะแตก ... ถ้ายังไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับกูรู 3 ท่านนี้ จนกว่าจะถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (2012) การถกเถียงเรื่องวันที่โลกใบนี้จะแตกดับคงนับได้อีกไม่ถ้วน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและรอบด้าน จากผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ฟังความข้างเดียว โดยเฉพาะกับเรื่องระดับ "โลก" อย่างนี้
ต้นทางจากมายา
ต้นทางแห่งความคิดชุดนี้มาจากปฏิทินชนเผ่ามายา ชนเผ่าโบราณที่มีความเชี่ยวชาญด้านกาลเวลาและดาราศาสตร์ ซึ่งนับเอาวันดังกล่าวเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือปฏิทินฉบับที่ 3 ของชาวมายา นอกเหนือไปจาก 2 ฉบับแรกที่เป็นฉบับปกติ และฉบับสอง - ศาสนา
"จริง ๆ ชาวมายาไม่ได้กำหนดวันชัดเจน ซึ่งปฏิทินแบบ Long Count เป็นการคำนวณระยะยาว ซึ่งแบ่งได้ 5 ยุค และตอนนี้เป็นยุคที่ 5 ซึ่งยุคที่ 5 นี้เริ่มต้นเมื่อ 5,000 กว่าปีมาแล้ว แล้ววันสิ้นสุดของยุคนี้ แปลความออกมาได้ว่าเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2012 แต่ก็ไม่ได้บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น" ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คอลัมนิสต์ นักคิด นักเขียนอิสระ และผู้เขียนหนังสือ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ วันพลิกชะตาโลก ให้ความรู้ปูพื้นฐาน
ด้วยความที่เรื่องราวของชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล ค่อนข้างลึกลับน่าค้นหา สมัยนั้นอาณาจักรมายาได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง แต่จู่ ๆ อารยธรรมก็ล่มสลายอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ยิ่งเป็นปริศนาให้คนรุ่นหลังสนใจในชนเผ่านี้มากขึ้นไปอีก
"ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชาวมายาทิ้งไว้ให้ จะถูกนำไปตีความเสมอ ๆ โดยเฉพาะเรื่องวันสิ้นสุดโลก" ชัชรินทร์ คิดเช่นนั้น
ชาวตะวันตก เช่น นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์สมัครเล่น คือ คนกลุ่มแรก ๆ ที่นำ "สิ่งใด ๆ" นั้นมาตีความ จนข้อมูลต่าง ๆ เริ่มแพร่วงกว้างมากขึ้น และลามไปถึงวงการนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ เป็นที่มาของทฤษฎีและความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่กลายเป็น "ประเด็น" ในโลกปัจจุบัน ตามมาด้วยการตีความสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ไว้ 2 กระแสแบบตรงข้ามกันสุดขั้ว
แบบแรก - มองโลกในแง่บวก เป็นทฤษฎีของกลุ่มนิวเอจ (New Age Theories) ที่เสนอว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขึ้นทั้งกายภาพและทางจิตวิญญาณ
"ทฤษฎีหนึ่งซึ่งเสนอโดย เทเรนซ์ แมคเคนนา กล่าวถึง "สภาพความใหม่ (novelty)" ซึ่งนิยามว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมโยงระหว่างกันและกันของสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพ และสภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งสูงสุดเป็นอนันต์ในปี 2012" ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดมุมมองในโลกวิทยาศาสตร์
แบบสอง - มองโลกในแง่ลบ เป็นทฤษฎีวันสิ้นโลก (Doomsday Theories) เสนอว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่หลวง ที่จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์และโลกอย่างกว้างขวาง
"พูดถึงการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกในปีดังกล่าว ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ครั้งมโหฬาร หมายถึงการระเบิดในระดับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่า ปี 2012 จะเกิดจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด และสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์จะแปรปรวนมากที่สุด เรียกว่า โซลาร์แม็กซิมัม (solar maximum)"
พ้องกับข้อมูลจาก NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration : หน่วยงานตรวจสอบและรายการอากาศ ข้อมูลระดับน้ำ และแจ้งเตือนภัยจากภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่ระบุไว้ว่า โซลาร์แมกซิมัมจะเกิดในเดือนพฤษภาคม 2013
จุดบนดวงอาทิตย์ที่ ดร.บัญชา อ้างถึง คือ "จุดดับ" ซึ่งมีการตีความกันต่อว่า ปี 2012 จะเกิดการระเบิดของจุดดับ หรือ การปะทุของดวงอาทิตย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พายุสุริยะ
"บางทฤษฎีก็เอาเรื่องดาราศาสตร์มาโยง ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับดาวพฤหัส และดาวเสาร์ ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อจุดดับของดวงอาทิตย์อย่างมหาศาล ชนิดทำลายล้างโลกได้ มันก็ไม่ถึงกับมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ก็เหมือนกับที่มีคนบอกว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั่นแหละ ยังโต้กันไปโต้กันมา" ชัชรินทร์ กล่าว
ยังจะมี "ดาวเคราะห์นิบิรุ" ที่ลือกันตั้งแต่ปี 1995 ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้จะพุ่งเข้าชนโลกในปีเดียวกันนี้อีก
ที่มาของข่าวชิ้นนี้ ว่ากันว่า คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก
ข้อเท็จ-จริง
2012 วันสิ้นโลก
ในฟากวิทยาศาสตร์ ดร.บัญชา เผยว่า หนังสือ The Maya ซึ่งเป็นเล่มแรกที่จุดพลุเรื่อง 2012 ซึ่งเขียนโดย Michael D.Co ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก (ค.ศ.1966) ระบุว่า เอกภพนี้จะถูกทำลายล้างในวันที่ 24 ธันวาคม 2011
หากในการพิมพ์ครั้งที่ 2 วันดังกล่าวถูกปรับเป็น 11 มกราคม 2012 และ การตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ก็เลื่อนไปเป็น 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน
"ส่วนเรื่องการเรียงตัวในแนวเดียวของดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ในแนวเดียวกับหลุมดำมวลมหาศาล (supermassive black hole) ซึ่งเชื่อว่าความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และหลุมดำ จะผนึกกำลังกันทำให้เกิดความปั่นป่วนในโลก แต่ควรรู้ด้วยว่า หลุมดำดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกถึง 30,000 ปีแสง จนมิอาจส่งผลใด ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อโลกและระบบสุริยะได้" ข้อเท็จจริงจาก ดร.บัญชา
ส่วนนักคิด นักเขียนอย่างชัชรินทร์ ที่ตอนนี้หันมาศึกษาด้านศาสนาอย่างจริงจังนั้น วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ "โต้กันไปโต้กันมา" ระหว่างฝั่งเชื่อและไม่เชื่อว่า เกิดจากขอบเขตความรู้ด้านจักรวาลของนักวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น การเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่น้อย ไปคัดง้างกับความเชื่อที่เต็มไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็ชวนติดตามอย่างสุด ๆ นั้น ผลก็คือ
"ด้วยความที่ยังตอบในหลาย ๆ คำถามไม่ได้ มันจึงไม่สามารถหักล้างความเชื่อทางโบราณได้ มิหนำซ้ำ กลับยิ่งโจษจันกันมากขึ้น" ชัชรินทร์ บอกอีกว่า คงต้องขึ้นกับสติ และวิจารณญาณของผู้อ่าน ผู้ฟังแล้ว
วิทยาศาสตร์ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง
2012 วันสิ้นโลก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "อวสานโลก" กลายมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งคือ ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ซึ่งสร้างจากนิยายของ Rolannd Emmerich ที่ปล่อยทีเซอร์ ออกไปแล้วทั่วโลก
"ตอนนี้มันไม่มีที่ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ อย่างน้อย ๆ ในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้ยังไม่มีภาวะคุกคามอะไรที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น" ดร.อนนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้แจงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกระแสดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า การที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ถึงขนาดทำให้โลกสูญสิ้นได้นั้น ไม่มีทางเกิดในระยะเวลา 1-2 ปี แน่นอน เพราะถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่หากกล่าวถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็มีบ้างที่ปะทุขึ้นมา เนื่องมาจากเป็นภัยพิบัติที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือในกรณีที่คาดการณ์ว่ามีอุกกาบาตใหญ่เข้ามาชนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย
"โดยปกติแล้วก็จะมีการติดตามวัตถุในอวกาศ และสัญญาณที่ระบุว่ามีวัตถุขนาดใหญ่พอที่จะคุกคามโลกได้นี่ยังไม่มี แต่เราจะบอกว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า อย่างเรื่องของภัยพิบัติขนาดเล็ก ขนาดเล็กที่ว่าก็ตายเป็นแสน ๆ ได้ เช่น สึนามิ แต่ก็ยังไม่ถึงสิ้นโลก และเหตุการณ์แบบนี้มันพร้อมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้" ดร.อนนท์ กล่าว
กับบางประเด็นที่ลือกันหนาหู โดยเฉพาะเรื่องการเรียงตัวของดวงดาว ดร.อนนท์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ นอกจากระดับน้ำทะเลขึ้น-ลง เล็กน้อย เช่นเดียวกับการสลับขั้วของแม่เหล็กโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี
"แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ยังมีอีกหลายเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง หรือรู้ผิดดังนั้นมันก็คือยังมีความเสี่ยง เราคงต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง" ดร.อนนท์ กล่าว
ทั้งนี้ ชัชรินทร์ กล่าวว่า คงเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของคนในสังคมได้ แทนที่จะสนใจแต่เรื่องส่วนตัว กลับทำให้สังคมตื่นตัวและหันมาสนใจเรื่องของภัยพิบัติมากขึ้น แต่ถ้าตัดเรื่องวันออกไปและดูแนวโน้มดาวเคราะห์สีฟ้าในปัจจุบัน ชัชรินทร์ยอมรับว่า โลกกำลังเคลื่อนไปสู่หายนะจริง ๆ
"ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มาจากนอกโลก แต่เพราะผู้คนในโลกที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ชั้นบรรยากาศที่ถูกโลกอุตสาหกรรมทำลายมาติดต่อกันเกินกว่า 200 ปี วิถีชีวิตแบบทุนนิยมที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะเรือนกระจก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ความร้อนที่สูงขึ้น โรคระบาดกลายพันธุ์ ฯลฯ" ชัชรินทร์ กล่าว
ชัชรินทร์ ยังเปิดเผยต่อว่านักวิทยาศาสตร์อย่าง สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง , อาร์เธอ ซี คลาก ที่รับรู้เรื่องนี้มาตลอด ประกาศนับถอยหลังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
"มีการเลื่อนนาฬิกาสิ้นโลกให้เหลืออีกแค่ 5 นาที เดิมที นาฬิกาเรือนนี้ถูกตั้งไว้ให้เหลือเวลา 7-8 นาทีในยุคสงครามเย็น แต่พอสิ้นสุด เหตุการณ์สงบ ก็ถูกเลื่อนเวลาให้เหลือมากกว่านั้น แต่สุดท้ายด้วยปัจจัยต่าง ๆ นานา ข้างต้น นักวิทยาศาสตร์สรุปกันแล้วว่า เข็มนาทีต้องมาหยุดที่เลข 11"
คำถามต่อมาคือ ระหว่างนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร
"ดีที่สุดคือ เตรียมใจและเตรียมความคิด อย่างอื่นไม่ต้องเตรียมเลย เพราะมันเกินกว่าเราจะเตรียมได้" ชัชรินทร์ ตอบอย่างอารมณ์ดี
นอกจากมองและคิดทุกสิ่งว่าอนิจจัง เวลาที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าเป็นไปได้ หาทางปรับเปลี่ยนความคิด ปฏิสัมพันธ์กับโลกและเพื่อนมนุษย์ เพื่อเวลาที่เหลืออันสั้นจะยืดยาวออกไป หรือไม่เกิดเลย
"ไม่ใช่แค่ปิดแอร์ก่อนเวลา หิ้วถุงผ้า หรือกินอาหารออร์แกนิกส์" ชัชรินทร์ พูดไว้เป็นแนวทาง
ส่วนเรื่องวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เขาบอกว่า.. "ขนาดในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกถามพระเยซูว่า วันสิ้นสุดโลกจะเกิดเมื่อไหร่ พระเยซูตอบว่า ผู้ที่รู้มีแต่พระเจ้าองค์เดียว"
นับถอยหลังกันบ้างไหม
2012 วันสิ้นโลก
มุมมองจาก ธนชัย อุชชิน หรือ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก "..ก็ไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรามีเรื่องที่ต้องดูแลมากกว่าตรงเยอะ คือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระแสวันสิ้นโลกตอนนี้คือทราบว่ามีหนังเรื่อง 2012 ออกมา มีทีเซอร์ออกมา ผมก็ดูบ้างผ่าน ๆ ส่วนตัวแล้วถ้ามีโอกาสก็คงไปชมภาพยนตร์บ้างเหมือนกัน ก็ดูเพลิน ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก"
ป๊อด โมเดิร์นด๊อก ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นกระแสที่สังคมกำลังให้ความสนใจ แต่ไม่อยากให้เป็นตัวนำความตื่นตระหนกมาสู่สังคม เขามองว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากกระแสนี้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม
"ถ้ามองในแง่ดี การที่สังคมสนใจในประเด็นนี้ มันทำให้คนทั่วไปหันมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่กันยังไง เราดูแลสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า หรือตอนนี้เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น หันกลับมาตั้งคำถามว่าเราทำอะไรเพื่อสังคม หรือสิ่งแวดล้อมบ้างไหม และมองพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราว่าบริโภคสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน" ป๊อด โมเดิร์นด๊อก
ขณะที่มุมมองจาก วีรภัทร ทิพยครรชิต เจ้าของเหรียญเงินจากการเข้าร่วมแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2552 กล่าวว่า
"ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นปีไหนกันแน่ แต่ในประเด็นของอุกกาบาตชนโลกและแม่เหล็กโลก ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ อย่างเรื่องอุกกาบาต คือมันเกี่ยวข้องกับระบบสุริยะ แล้วในระบบสุริยะเราก็มีอุกกาบาตลอยอยู่เยอะแยะ มันก็มีโอกาสที่จะมาชนโลก เหมือนกับยุคไดโนเสาร์ที่มันต้องสูญพันธุ์ไปก็เพราะอุกกาบาตชนโลก"
ในประเด็นสนามแม่เหล็กโลก ก็ไม่ต่างกัน
"ถ้าแกนโลกผิดปกติไป สนามแม่เหล็กก็ผิดปกติ รังสีอันตรายพวกนี้ก็จะเข้ามาสู่โลกมากขึ้น ก็อาจจะทำให้คนเราตายได้ แต่ว่าโลกคงไม่ได้ระเบิด แต่คงมีการเสียชีวิตในจำนวนที่มาก ๆ ก็เชื่อว่าทั้งสองประเด็นนี้มีความเป็นไปได้ ขนาดองค์การนาซ่า ยังมีการศึกษาเรื่องนี้กันอยู่เลย"
แม้จะเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่วีรภัทรไม่ได้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง กลับมองว่า "โลกร้อน" ที่กำลังเกิดอยู่ ณ ขณะนี้ ใกล้ตัวมากกว่า และควรซีเรียสกับมันมากกว่า
"ผมก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม แต่ก็มีสงสัยบ้างว่า เออ.. มันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมก็คงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว แต่จริง ๆ เรื่องโลกร้อนน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงมากกว่า มันมีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดขึ้น ยังไงมันต้องเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผมแน่ ๆ" วีรภัทร กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ