สมัยนี้ข่าวคาวเรื่องของผัวๆ เมียๆ ในแวดวงดารา นักร้อง นักแสดง ไฮโซ ไฮซ้อ รวมไปถึงนักการเมืองดูจะเป็น “ขาประจำ” ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนเหล่านี้ เป็น “บุคคลสาธารณะ” เป็นคนเด่น คนดังของสังคม พฤติกรรมไม่ว่าทางลบ หรือทางบวกจึงเป็นที่จับจ้องมองดูของคนทั่วไป แต่ส่วนใหญ่ข่าวด้านลบ ดูเหมือนจะมีเรื่องชวนเม้าท์ ชวนรู้ให้เกิดความมันส์ในอารมณ์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นดาราสาวคนนั้นเลิกกับนักร้องชายคนนี้ ศิลปินคนโน้นเป็นกิ๊กกับเมียคนนั้น ล้วนเป็นเรื่องในมุ้งคนอื่นที่ชวนติดตามทั้งสิ้น ส่วนอ่านข่าวแล้วจะเกิดความเห็นใจ หรือสะใจก็แล้วแต่
อันที่ จริง ก่อนที่ชายหญิงแต่ละคนจะมาครองคู่ เป็นคู่ครองหรือเป็นผัวเมียกันได้นั้น จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ว่าง่ายเพราะบางคนถูกใจกัน ก็แต่งกันได้เลย พ่อแม่ก็ส่งเสริม แต่บางคู่กว่าจะได้ครองรักกันได้ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เช่น คู่ที่พ่อแม่กีดกัน เพราะอีกฝ่ายฐานะยากจนกว่า ฝ่ายชายก็อาจต้องฝ่ากระสุนของพ่อตา ฝ่าดงตีน เอ้ย! ดงเท้าของพี่ชายเมียที่เป็นนักเลง หรือไม่ฝ่ายหญิงก็ต้องเสี่ยงขาเป๋ เพราะต้องกระโดดหน้าต่างหนีพ่อแม่ตามฝ่ายชายไป แต่อย่างสมัยนี้ แค่ขอเบอร์โทรศัพท์ หรือติดต่อทางอินเตอร์เนท ก็อาจได้ผัวได้เมียรวดเร็วสมยุคไฮเทค แต่จะจีรังยั่งยืน หรือแค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ขึ้นกับทั้งสองฝ่าย หรือบางคนแต่งจนมีลูก หรือลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ผัวดันขอไปมี “ผัวใหม่” เพราะเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองไม่ชอบผู้หญิง แบบนี้ก็มี เรียกว่าชีวิตคู่มีสารพัดสารพันแบบ ( แหม..ตัวเองเป็น all in one ก็ไม่บอกภรรยาตั้งแต่แรกน๊อ..!!)
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าไม่ว่าหญิงหรือชาย ส่วนมากถ้าเลือกได้ก็คงอยากจะมี “คู่ครอง” ที่สามารถร่วมชีวิตกันได้อย่างยาวนาน แบบที่โบราณว่า “ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร” แม้ว่าระหว่างการครองคู่ร่วมกันนั้น อาจจะมีการเลาะทองแกะเพชรไปขายกินบ้างเพื่อความอยู่รอด หรือฝ่ายหญิงต้องเอาไม้เท้า กระบองกำราบฝ่ายชายที่แอบไปมีกิ๊กบ้าง แต่หากสามารถอยู่กันตลอดรอดฝั่งจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง ก็ขึ้นชื่อว่าเป็น “คู่สร้างคู่สม” ที่เป็นชีวิตคู่ที่พึงปรารถนา ของคนส่วนใหญ่ ว่ากันว่า ชีวิตคู่ผัวตัวเมียที่วุ่นวายเป็นปัญหากันอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ ก็ล้วนมาจากสองเรื่องใหญ่ เรื่องแรกก็คือ เรื่องปากท้อง อันเกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ ที่ต้องจับจ่ายใช้สอย หรือศัพท์วิชาการก็คือ เรื่องเศรษฐกิจภายในบ้านนั่นเอง ที่มักทำให้ผัวเมียทะเลาะกัน ส่วนอีกเรื่องก็คือ เรื่องใต้ท้อง หรือเรื่องเซ็กส์ ที่ก่อให้เกิดคดีเมียน้อยเมียหลวง ผัวน้อยผัวหลวง หรือชู้ ซึ่งเมื่อก่อนๆ มักเป็นเรื่องปกปิด ถือเป็นเรื่องน่าอาย แต่ปัจจุบันคนกล้ายอมรับมากขึ้นว่าเซ็กส์ ก็มีส่วนสำคัญต่อชีวิตคู่ไม่น้อย และอาจเป็นปัจจัยให้เลิกรา หย่าร้างกันไปได้ ชายและหญิงที่โคจรมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น บางคนก็อาจจะเป็นคู่สร้างคู่สมที่กลายเป็นมาคู่คิด คู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าอย่างที่พูดถึงข้างต้น แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นคู่เวรคู่กรรม คู่กัด คู่แข่ง หรือบางครั้งก็เป็นเพียง คู่ขา ที่มาอยู่ด้วยกันเพียงครั้งคราวก็ได้ อย่างไรก็ดี
คนโบราณเขาก็พูดถึง ผู้หญิงที่ชายจะได้มาเป็นคู่ครอง ว่ามีอยู่ 7 ประเภทด้วยกันคือ
1. วธกาภริยา หมายถึง ภริยาเยี่ยงเพชฌฆาต คือ เมียที่ไม่ได้อยู่กินกันด้วยความพอใจ ดูหมิ่น และคิดทำลายสามี (เมียแบบนี้สงสัยเป็นประเภทถูกฉุด หรืออาจถูกบังคับให้แต่งมาก็ได้)
2. โจรีภริยา หมายถึง ภริยาเยี่ยงโจร คือ เมียชนิดล้างผลาญทรัพย์สมบัติ (พวกที่ชอบขอเงินสามีซื้อเพชรราคาแพง จะเข้าข่ายไหมเนี่ย)
3. อัยยาภริยา หมายถึง ภริยาเยี่ยงนาย คือ เมียที่เกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการงาน ปากร้าย หยาบคาย ชอบข่มสามี หรือดุด่าสามีเป็นประจำ (ดูท่าจะเป็นลักษณะของเมียโดยทั่วไป)
4. มาตาภริยา หมายถึง ภริยาเยี่ยงมารดา คือ เมียที่หวังดี คอยเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ สามีหาทรัพย์มาได้ก็เอาใจใส่คอยประหยัดรักษา (มีเมียแบบนี้ ก็ทำให้สามีสบายใจ)
5. ภคินีภริยา คือ ภริยาเยี่ยงน้องสาว คือ เมียที่เคารพรักสามี ดังน้องรักพี่ มีใจอ่อนโยน รู้จักเกรงใจ มักคล้อยตามสามี (ประเภทนี้ไม่ค่อยมีปากมีเสียง สามีก็มักรักและเอ็นดู)
6. สขีภริยา คือ ภริยาเยี่ยงสหาย คือ เมียที่เป็นเหมือนเพื่อน มีจิตภักดี เวลาพบสามีก็ร่าเริงยินดี วางตัวดี ประพฤติดี มีกิริยามารยาทงาม(เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ แหม! ฟังเหมือนสโลแกนธนาคาร)
7. ทาสีภริยา คือ ภริยาเยี่ยงทาส คือ เมียที่ยอมอยู่ใต้อำนาจสามี ถูกสามีตะคอกตบตี ก็อดทน ไม่แสดงความโกรธตอบ (เรียกว่ากลัวสามี จนหงอ แต่ประเภทนี้ก็ต้องระวัง หากเก็บกดมากๆ ระเบิดขึ้นมาเมื่อไร สามีตายได้ไม่รู้ตัว)
ทั้งเจ็ดประเภท คือ รูปแบบภริยาที่คนสมัยก่อนแบ่งเอาไว้ ที่น่าแปลกคือ ไม่ยักจะมีการแบ่งประเภท “สามี” ไว้ด้วย ว่ามีแบบไหนบ้าง ดังนั้น น่าจะอนุโลมให้ใช้หลักการเดียวกันได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เชื่อว่าหลายๆ คู่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ไม่ว่าผัวหรือเมียก็อาจจะเปลี่ยนแบบไปได้เรื่อยๆ เช่น ตอนเป็นผัวเมียกันใหม่ๆ เมียก็อาจจะจ้ะจ๋า ออดอ้อนทำตัวน่ารักเหมือนภคินีภริยา คือเป็นเมียแบบน้องสาว หรือเอาอกเอาใจสามีแบบมาตาภริยา คือดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นแม่ หรือบางคนก็คอยให้คำปรึกษาหารือเสมือนเพื่อนคู่หู ครั้นอยู่ๆไปนานๆ ก็อาจกลายพันธุ์กลายเป็นภริยาเยี่ยงโจร คือ คอยตามล้างตามเก็บเงินสามี ให้สามีใช้วันละยี่สิบ หรือทำตัวเยี่ยงนาย คือ บ่นว่าดุด่าสามีทุกวัน จนสามีหงอย มิใช่ภริยาหงออีกต่อไป ดังนั้น แต่ละคู่ แต่ละคนก็อาจจะเป็นทั้งผัวและเมียได้หลายแบบในคนๆ เดียวกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและอารมณ์
อย่างไรก็ ดี ในทางพุทธศาสนา ก็ได้มีการกล่าวถึงคู่ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ความเจริญ ว่าจะต้องมีความเหมาะสม และมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกลมกลืนกัน 4 ประการ ได้แก่
1. มีความศรัทธาเสมอกัน หมายถึง ต้องเป็นคู่ที่ยินดี หรือชมชอบในสิ่งเดียวกัน พูดง่ายๆว่า มีรสนิยมหรือความสนใจไปในทางเดียวกัน จึงจะไปด้วยกันได้ มิใช่เมียรักความสงบ ชอบไปวัด ผัวกลับชอบไปผับไปบาร์ แบบนี้ถึงอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็จะไม่มีความ สุข ต่างคนก็ต่างจะหงุดหงิดซึ่งกันและกัน
2. มีศีลหรือความประพฤติปฏิบัติที่เสมอกัน หมายถึง การมีศีลธรรม จรรยา พื้นฐานการอบรมหรือการกระทำที่พอเหมาะพอสมกัน เพราะหากมีความประพฤติหรือการกระทำที่ไปด้วยกันได้ ก็จะทำให้เกิดความสงบสุขในชีวิตคู่ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง และแตกแยกกันในที่สุด
3. มีความเสียสละ และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสมอกัน เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ต่างก็ต้องมีสิทธิ์ในทรัพย์สินที่หามาได้ ดังนั้น ถ้าทั้งคู่เต็มใจเสียสละไม่เท่ากัน ก็จะมีปัญหาให้โกรธเคืองกันได้ง่าย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาทรัพย์สินไปใช้ เช่น ผัวเอาเงินไปทำบุญ เมียไม่พอใจ เมียเอาของไปบริจาค ผัวไม่เห็นด้วย เช่นนี้ก็จะมีแต่เรื่องให้ว่ากระทบกระเทียบกันได้ตลอดเวลา หรือใครคนใดคนหนึ่งแอบเม้มเงินไว้เพื่อจะทำในสิ่งที่ตนชอบ เพราะกลัวอีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย แบบนี้ก็จะเกิดความระแวงแคลงใจกันได้เช่นกัน ชีวิตคู่ก็จะไปไม่รอด เพราะไม่วางใจซึ่งกันและกัน
4. มีปัญญาเสมอกัน หมายถึง มีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เสมอกัน จะทำให้คิดเหมือนๆ กัน หรือยอมรับความแตกต่างกันและอยู่ร่วมกันได้
ว่ากันว่า ทั้งสี่ข้อนี้ คู่ใดมีเสมอกัน แม้จะไม่สวย ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่เก่ง แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็สามารถมีความสุข ความเจริญได้ และยังอธิษฐานขอให้เกิดเป็นคู่ครองที่เจอะเจอกันได้ทุกๆชาติด้วย (หากไม่เบื่อกันไปเสียก่อน) ส่วนวิธีที่จะทำให้คู่ครอง ได้ครองรักครองคู่กันนานๆ นั้น
ขอเสนอคาถาพิเศษที่มีชื่อว่า “4 อ. คาถารักษารักให้ยั่งยืน” มาให้ลองทำดู คาถาที่ว่า ประกอบด้วย
- อ.แรก คือ อ. อดออม หมายถึง การรู้จักใช้เงิน และรู้จักออมเงินไว้ พูดง่ายๆ ถ้าผัวหา เมียก็ต้องรู้จักเก็บ หรือช่วยกันหาช่วยกันเก็บ แต่มิใช่ต่างคนต่างเม้มไว้ใช้เอง การรู้จักอดออม จะมีส่วนช่วยให้ชีวิตคู่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินที่จะนำปัญหาอื่นๆตามมา เป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาด และจะทำให้ชีวิตในครอบครัวมีความราบรื่นยิ่งขึ้น
- อ.ที่สอง คือ อดกลั้น เมื่อ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆเข้า มักหนีไม่พ้นมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างตามธรรมดาของลิ้นกับฟัน ถ้าต่างฝ่ายต่างมีความอดกลั้น รู้จักสะกดอารมณ์ไว้ รอให้ใจเย็น แล้วค่อยคุยกัน ไม่ทุ่มเถียง/ด่าว่าประชดประชันกันเมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธแล้ว ก็จะช่วยให้ครอบครัวไม่ร้าวฉาน เพราะคำพูดที่ไม่ดี แม้ไม่ตั้งใจ เมื่อพูดออกมาแล้ว ก็จะทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน ความอดกลั้นจึงมีส่วนยืดชีวิตคู่ให้ยาวนานมากขึ้น และหากจะรู้จักใช้ปิยวาจา คือ คำพูดที่ไพเราะ นุ่มนวล หรือรู้จักชมๆ กันบ้างบางวัน ก็จะยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างฟังแล้วเกิดความชุ่มชื่นหัวใจ มีกำลังใจ ชีวิตคู่ก็จะสดชื่น แจ่มใสยิ่งขึ้น
- อ.ที่สาม คือ อดทน หมาย ถึง การมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น การที่คนเรามาจากต่างครอบครัว แม้บางคู่จะมีพื้นฐานคล้ายกัน แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ดังนั้น นอกจากจะต้องมีความอดกลั้นแล้ว ยังต้องมีความอดทนต่อกันด้วย เพราะอยู่ๆไปก็อาจมีการล่วงล้ำก้ำเกินกันบ้าง เช่น สามีบางคนชอบเลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง หากเมียไม่อดทนพอ ลุกขึ้นมากะซวกสามี ตายไป แบบนี้ก็จะลำบากกันไปตามๆกัน แต่ที่สำคัญ คือ ผัวเมียต้องร่วมกันอดทนต่อความเหนื่อยยากลำบากที่จะต้องฟันฝ่า และพยุงนาวาชีวิตไปด้วยกัน เพราะความอดทนจะทำให้เราภาคภูมิใจเมื่อก้าวข้ามอุปสรรค และสร้างเห็นอกเห็นใจต่อกันยิ่งขึ้น
- อ. ที่สี่ คือ อ.อภัย หมายถึง การให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องแปลกที่ว่า เมื่อเรารักใครแล้ว หากเขาทำผิดทำพลาด เรามักโกรธเขามากกว่าคนอื่น ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะเรามีความคาดหวังในคนที่เรารักไว้สูง พอไม่ได้ดังใจ ก็จะโกรธหรือน้อยใจเขามากกว่าคนอื่น ดังนั้น อ.ให้อภัยนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในการดำรงชีวิตคู่ เพราะหากเราไม่รู้จักให้อภัยในความผิดพลาดที่อาจจะมีขึ้นได้ ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ชีวิตคู่ก็จะล้มเหลวได้ง่าย ดังนั้น เราจึงควรให้โอกาส และให้อภัยแก่สามีหรือภริยาที่เรารัก เพื่อชีวิตคู่จะได้เป็นสุข และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ ต่างจะต้องจริงใจ และซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนด้วย จึงจะทำให้การครองรักครองเรือนมีความสุขสมบูรณ์อย่างแท้จริง
เขาบอกว่าเคล็ด (ไม่)ลับ ของคาถานี้ ก็คือ ห้ามร่ายมนตร์เพียงลมปาก แต่ให้ลงมือทำจริงๆ ก็จะได้ผลสมปรารถนาทุกประการ อ้อ ! มีเกร็ดนิดหน่อยสำหรับบรรดาเมียๆ ด้วยว่า อ. สำคัญที่อย่าปล่อยให้เกิดขึ้น คือ อ.อวบอ้วน เพราะอาจจะมีส่วนให้สามีเกิด อ. เอือม ระอา แล้วเอาใจออกห่าง ส่วนสามีทั้งหลายก็อย่าไปหา อ.อวบอั๋น นอกบ้านมาทำให้ภริยา อ.อึดอัด มิฉะนั้นท่านอาจจะเจอ อ.อาบเลือด ได้ (ฮิ ฮิ) เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน...อิอิอิ 555