Advertisement
บ้านเรือนไทย
สถาปัตยกรรมไทย เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยที่สะท้อนภาพชีวิตแบบไทย ทั้งในด้านความเป็นอยู่ ทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อม โดยเฉพาะในเรื่อง "บ้าน" หรือ "เรือน" ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผูกพันมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าปัจจุบันการดำเนินชีวิตและรูปลักษณ์ของบ้านจะแปรเปลี่ยนไป แต่หากมองกันอย่างลึกซึ้งแล้ว ชีวิตในบ้านของคนไทยยังไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งค่านิยมบางประการยังคงดำเนินการสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บ้านมิได้มีความหมายเพียงเป็นที่อาศัยนอนในตอนกลางคืนและออกไปทำงานตอนเช้าเท่านั้น แต่บ้านคือที่อยู่อาศัยของครอบครัวที่มีชีวิตชีวา มีความรักและความอบอุ่นเป็นที่พึ่งในทุกโมงยามที่ต้องการ
บ้านจึงเป็นที่ที่คนอยากให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตสิ่งหนึ่ง บ้านไทยหรือเรือนไทยในความคิดของคนทั่วไปคงเป็นภาพบ้านไทยภาคกลาง ที่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง มีหลังคาแหลมสูงชัน ประดับด้วยตัวเหงา มีหน้าต่างบานสูงรอบๆ ตัวบ้านอาจเป็นบ้านเดี่ยว หรือเป็นกลุ่มบ้านก็ได้
ลักษณะของบ้านไทยดังกล่าวชี้ชัดให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนโบราณ ทั้งช่างปลูกบ้านและช่างออกแบบ ที่ปลูกบ้านเพื่อนประโยชน์และความต้องการใช้สอย และแก้ปัญหาของผู้อยู่อาศัย เป็นแบบบ้านที่สวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
บ้านไทย จึงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของชาติและเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาอันน่าภูมิใจ คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศเขตร้อน พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มและอยู่ในเขตมรสุม จึงมีฝนตกชุกในหน้าฝน บางทีหรือเกือบทุกปีจะเกิดน้ำท่วม คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำสวน ทำนา ทำไร่ ทำประมง แม่น้ำลำคลองจึงเปรียบเสมือนเส้นโลหิตหล่อเลี้ยงชีวิต ที่นี่จึงเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งพักผ่อน และเป็นเส้นทางคมนาคม
คนไทยภาคกลางจึงนิยมปลูกบ้านอยู่ริมฝั่งน้ำสายเล็กสายน้อย เมื่อยามน้ำหลากน้ำก็จะไหลท่วมบ้านเรือน คนไทยแต่ก่อนไม่รู้จักการถมที่ดินหนีน้ำท่วม จึงปลูกบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง ซึ่งให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งช่วยให้ลมผ่านสะดวก ทั้งเพื่อความปลอดภัยจากสัตว์ร้าย หรือคนร้ายในยามค่ำคืน และยังเป็นการป้องกันน้ำท่วมถึงตัวบ้านอีกด้วย ใต้ถุนบ้านนี้ในยามปกติอาจใช้เป็นที่สันทนาการของครอบครัวคือ เป็นที่พักผ่อน หรือที่เล่นของเด็กๆ หรือใช้รวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทอผ้า ตั้งเตาหรือกระทะทำขนมกวนต่างๆ และไว้เก็บสิ่งของทั้งใหญ่และเล็ก ยามเมื่อน้ำหลากมาก็ย้ายสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จากใต้ถุนขึ้นไว้บนตัวเรือน ใต้ถุนที่ยกสูงนี้ นิยมให้สูงกว่าระดับศีรษะคนยืน เพื่อให้เดินได้สะดวก
ดังที่กล่าวแล้วว่าประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน แสงแดดจัดจ้า อากาศโดยทั่วไปจึงร้อนถึงร้อนจัด โดยเฉพาะในหน้าร้อน บ้านจึงเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็นแก่ผู้อยู่อาศัย ภูมิปัญญาของการปลูกบ้านไทยคือ การออกแบบให้เป็นหลังคาทรงสูง เพื่อให้อากาศภายในเบาลอยตัวอยู่ ขณะที่ความร้อนจะถ่ายเทสู่ตัวบ้านหรือภายในห้องได้อย่างช้าๆ เนื่องจากระยะความสูงของหลังคาทำให้ภายในตัวบ้านเย็นสบาย แม้จะมีห้องและฝากั้น แต่ก็มีพื้นที่เพียง 40% ที่เหลืออีก 60% เป็นชานเปิดโล่ง ทำให้ลมพัดผ่านได้สะดวก ทั้งลมจากใต้ถุนสูงที่พัดขึ้นมาข้างบนก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สายลมเย็นจะพัดผ่านในบ้านตลอดเวลา
ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของบ้านไทยที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาอากาศร้อนคือ การสร้างชายคาหรือไขรา ให้ยื่นยาวออกคลุมตัวบ้านมากกว่าบ้านทรงยุโรป เป็นการป้องกันแดดไม่ให้เผาฝาบ้านให้ร้อน ป้องกันฝนสาด แดดส่อง ห้องจะได้เย็นตลอดทั้งวัน
องค์ประกอบอื่นๆ ที่ทำให้บ้านไทยเป็นบ้านที่ร่มเย็นคือ "ความโปร่ง" ซึ่งเกิดจากการออกแบบฝาบ้านให้มีอากาศผ่านได้ เช่น ใช้ฝาสำหรวด หรือฝาขัดแตะ หน้าจั่วของบ้านทำเป็นช่องโปร่งให้ลมผ่านได้
ลักษณะเด่นชัดอีกประการของบ้านไทยคือ รูปทรงบ้านที่มีระเบียบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน จะแลเห็นได้ตั้งแต่ชานหน้าเรือน ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งรับลม คนนั่งจากชานเรือนจะมองเห็นมุมกว้าง ทำให้รู้สึกโล่งโปร่งใจโปร่งตา ถัดจากชานเข้ามาเป็นระเบียงที่ใช้รับรองแขก จัดงานตามประเพณีนิยม หรือคติทางศาสนา เช่น ทำบุญเลี้ยงพระ โกนจุก แต่งงาน ตากอาหารแห้ง และที่นอนชานมักใช้ปลูกไม้กระถาง วางอ่างน้ำ ปลูกตะโกดัดและบอนไซ ซึ่งคนแต่ก่อนนิยมปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้เชยชม และอาจจัดมุมใดมุมหนึ่งของนอกชานในที่ลับตาคนเป็นที่อาบน้ำก็ได้
ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืนมานั้น บรรยายบรรยากาศบนชานเรือนของขุนช้าง ซึ่งเป็นคหบดีเมืองสุพรรณไว้น่าดูนัก อ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ บอกไม่ถูกทีเดียว
โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างสร้างไว้อยู่ดาษดื่น
รวยรสเกสรเมื่อค่อนคืน ชื่นชื่นลมชายสบายใจ
กระถางแถวแก้วเกตพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว
สมอรัดตัดทรงสมละไม ตะขบข่อยตั้งไว้จังหวะกัน
ตะโกนาทั้งกิ่งประกับยอด แทงทวยทอดอินพรหมนมสวรรค์
บ้างผลิดอกออกช่ออยู่ชูชัน แสงพระจันทร์จับแจ่มกระจ่างตา
ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ้อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา
ลำดวนยวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม
ถัดถึงกระถางอ่างน้ำ ปลาทองว่ายคล่ำเคล้าคลึงสม
พ่นน้ำดำลอยถอยจม น่าชมชักคู่อยู่เคียงกัน
หากมีพื้นที่รอบๆ บ้าน ก็นิยมปลูกไม้ใหญ่หลายชนิดไว้ให้ร่มเงา เรือนบางหลังยังเปิดช่องตรงกลางชานไว้ปลูกไม้ยืนต้น เพื่อให้ร่มเงาบริเวณชานเรือนอีกด้วย
ฝีมือช่างไทยที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฎในเรือนไทยคือ การไม่ใช้ตะปู แต่จะตรึงติดด้วยลิ้นไม้เข้าเดือย ตั้งแต่การตรึงติดของจั่วและคาน จนถึงการทำบันไดบ้าน ในการปลูกบ้านไทยยังแฝงคติความเชื่อของเรื่องการวางทิศทาง การให้ความสำคัญของไม้แต่ละชิ้นที่ใช้ ซึ่งมีพิธีทำขวัญเสาสำหรับผีที่ปกปักรักษาต้นไม้ที่ถูกตัดมา
การเรียกชื่อไม้ที่เป็นโครงสร้างบ้านก็เรียกด้วยความเคารพ ซึ่งแสดงถึงการให้เกียรติและให้ความสำคัญต่อทุกสรรพสิ่งรอบๆ ตัว และทั้งหมดนี้เกิดจากลุ่มลึก และภูมิปัญญาของช่างโบราณของไทยอย่างแท้จริง
ที่มาข้อมูล : www.ku.ac.th
|
|
|
|
|
จิม ทอมป์สันสังเกตเห็นว่าบ้านไทยโบราณที่สวยงามหลายหลังยังคงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม แม้จะเก่าแก่นับร้อยปีหรือเก่ากว่านั้นอีก เขาจึงตัดสินใจซื้อเรือนเก่าหลายหลังและนำมาประกอบเป็นเรือนหมู่หลังใหญ่
เรือนไทยจิม ทอมป์สันแต่ดั้งเดิมรวมทั้งเรือนนอกบ้านที่สร้างขึ้นใหม่จากเรือนเก่าที่ได้มาจากที่ต่างๆกันหกหลัง บางหลังก็ใช้ชิ้นส่วนทุกชิ้น และ บางหลังก็เลือกมาใช้เฉพาะบางชิ้น เรือนเก่าเหล่านี้ซื้อมาจากที่ต่างๆทั่ว ประเทศและขนย้ายมายังที่ตั้งปัจจุบัน
ภาพถ่ายระหว่างการก่อสร้างเรือนไทยจิม ทอมป์สัน
ในช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๕๙ (พ.ศ. ๒๕๐๒)
และแปลนบ้านที่เขาส่งไปให้พี่สาวดู
|
|
|
|
|
|
|
|
ห้องนั่งเล่น
ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเรือนใหญ่เป็นเรือนสมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งได้มาจากหมู่บ้านช่างทอผ้าไหมบ้านครัว ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองฟากตรงข้าม ส่วนนี้นำมาใช้ทำเป็นห้องนั่งเล่น
|
|
|
|
|
|
|
ห้องนั่งเล่น
ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของบ้านซึ่งสร้างตั้งแต่ราวปี ค.ศ. ๑๘๐๐ (พ.ศ. ๒๓๔๓) และยังเป็นเรือนเดี่ยวหลังใหญ่ ที่สุดอีก เรือนหลังนี้ได้มาจากชุมชนช่างทอผ้าบ้านครัว ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคลอง |
|
|
|
โคมระย้าอัจกลับส่งแสงแวววับได้มาจากพระตำหนักเก่าแห่งหนึ่ง แขวนห้อยจากเพดานสูง ตุ๊กตาพม่ารูป "นัต" ซึ่งเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากอมรปุระตั้งประดับช่องบานหน้าต่างแต่เดิม |
|
|
|
|
ครัว
|
|
ภาพที่มองจากลานบ้าน เห็นทางเข้าหน้าบ้านไป จนถึงบันไดและ ทางด้านขวาเป็นส่วนที่ เคยใช้เป็นห้องครัว
|
|
ส่วนที่เก่าแก่รองลงมาคือครัวซึ่งได้มาจากหมู่บ้านช่างทอผ้าอีกเหมือนกันส่วนนี้ มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ แต่เดิมอยู่ในพระตำหนักเก่า และขนย้ายมาอยู่ที่บ้านครัวเมื่อห้าสิบปีก่อนหน้า
สำหรับบ้านส่วนอื่นๆจิม ทอมป์สันได้ตระเวนเสาะหาไปจนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในที่สุดเขาก็ได้เจอสิ่งที่ต้องการที่หมู่บ้านผักไห่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ เรือนหลายหลังถูกรื้อถอนเป็นชิ้นๆและลำเลียงมาทางเรือล่องมาตามแม่น้ำลำคลองตรงมายังสถานที่ก่อสร้างในกรุงเทพฯ
|
|
|
|
|
|
ฤกษ์งามยามดี
คนไทยมักจะต้องไปหาพระเพื่อหาวันเวลาที่เป็นศุภฤกษ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล พระจะดูฤกษ์ดูยามตามโหราศาสตร์โดยใช้วันเดือนปีเกิดของเจ้าของบ้านโยงเข้ากับลัคนาราศี
วันที่ ๑๕ กันยายน ค.ศ. ๑๙๕๘ (พ.ศ. ๒๕๐๑)
เวลา ๐๙.๐๐ น.
เป็นวันและเวลาที่เป็นมงคลฤกษ์ในการก่อสร้างบ้านของ
จิม ทอมป์สันตามโหราศาสตร์
วันที่ ๓ เมษายน ค.ศ. ๑๙๕๙ (พ.ศ. ๒๕๐๒)
การก่อสร้างเสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ
|
|
|
|
|
|
ศาลพระภูมิ
|
ศาลพระภูมิเป็นบ้านหลังจิ๋วที่จำลองจากบ้านทรงไทยหรือโบสถ์ ตามความเชื่อของคนไทยโบราณศาลพระภูมิสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยของวิญญาณ เจ้าที่ที่สิงสถิตอยู่ในบริเวณบ้านพระภูมิเจ้าที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์และบทบาท สำคัญที่จะอำนวยโชคหรือบันดาลเคราะห์ให้แก่ผู้อยู่อาศัยในบ้านนั้น หากไปทำอะไรให้พระภูมิเจ้าที่โกรธเคือง ไม่ว่าจะโดยการละเลยไม่เคารพบูชา หรือหยาบหยามลบหลู่ก็ตาม เคราะห์ร้ายก็จะตกแก่เจ้าของและผู้อยู่อาศัยในบ้าน จะต้องมีการไหว้บูชาพระภูมิเจ้าที่เป็นประจำทุกวันด้วยธูปเทียนดอกไม้และเครื่องเซ่นไหว้ |
|
|
สถานที่ประดิษฐานศาลพระภูมิเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง หากตั้งไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสมก็จะพาให้เป็นอัปมงคลทำให้เกิดเคราะห์หามยามร้ายแก่ผู้อยู่อาศัย จึงต้องระวังไม่ตั้งศาลพระภูมิไว้ในบริเวณที่เงาของเรือนหลังใหญ่ ทอดลงบังศาล ดังนั้นศาลพระภูมิจึงมักตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ตะวันออกหรือตะวันออกเฉียงเหนือในบริเวณบ้าน |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า |
|
พบกับแบบบ้านไทย
วันที่ 5 พ.ย. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,151 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,132 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,168 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,182 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 96,043 ครั้ง |
เปิดอ่าน 23,799 ครั้ง |
เปิดอ่าน 62,183 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,689 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,786 ครั้ง |
|
|