ณหทัย ทิวไผ่งาม หนีข่าวฉาว วิวาห์ แทน สมบูรณ์ทรัพย์
ณหทัย ทิวไผ่งาม
ณหทัย หนีข่าวคาว ล้างข่าวหลอน′ทักษิณ-นพดล′ เป็นเจ้าสาว "คืนฮัลโลวีน" (ประชาชาติธุรกิจ)
เปิดใจ อ้อ-ณหทัย ทิวไผ่งาม หลังมรสุมชีวิตพัดผ่าน ไม่มี ทักษิณ ไม่มี นพดล เมื่อวานนี้อีกแล้ว วันนี้ เธอ ตัดสินใจหมั้น-แต่งงานวัน "ผีหลอก" ในเทศกาล "ฮัลโลวีน" 31 ตุลาคม 2552 กับ "แทน สมบูรณ์ทรัพย์" วันนี้ เธอ แกร่งพอ จะพูดเรื่องที่หลายคนอยากรู้
นับตั้งแต่วันที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เอ่ยปากชักชวนให้ "ณหทัย ทิวไผ่งาม" เข้าสู่ถนนการเมือง นับตั้งแต่วันนั้น ณหทัย ทิวไผ่งาม ก็ประสบกับ "ข่าวคาว" ที่โถมกระหน่ำเข้ามาอย่างทุกทิศทุกทาง ทั้งข่าวชู้สาวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ข่าวอื้อฉาวคราวนั้น ณหทัย ทิวไผ่งาม ต้องปาดน้ำตา-ตั้งโต๊ะแถลงข่าวโต้ ฉาวขนาดที่ประมุข "บ้านจันทร์ส่องหล้า" ต้องจัดงาน "เคลียร์" ดับข่าวด้วยการเปิดบ้านจัดงานต้อนรับ ส.ส.หญิงทุกคนของพรรค ร่วมรับประทานอาหารค่ำร่วมกับคุณหญิงพจมาน-ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อพ้นพันธนาการจาก "ข่าวทักษิณ" ณหทัยปรากฏทั้งข่าว-ภาพการเป็นคู่รัก-คู่หู-ดูใจกับนพดล ปัทมะ เลขานุการส่วนตัว-ทนายหน้าหอของ "ทักษิณ"
ในพรรคไทยรักไทยอาจจะมีชื่อ "ณหทัย ทิวไผ่งาม" เพียงคนเดียวที่มีข่าวทางด้านชู้สาวอยู่ไม่ขาดสาย แม้พ้นจากสนามการเมืองแต่ข่าวฉาว-คาวกับคนการเมืองยังตามหลอน-หลอก ทะลุเข้าไปถึงโรงเรียนทิวไผ่งาม
ณหทัย ทิวไผ่งาม จึงตัดสินใจหมั้น-แต่งงานวัน "ผีหลอก" ในเทศกาล "ฮัลโลวีน" 31 ตุลาคม 2552 กับ "แทน สมบูรณ์ทรัพย์" พร้อมๆ กันนี้เธอแสดงความพร้อมที่จะหวนคืนวงการการเมืองอีกครั้ง หลังจากเคย "อกหัก" จากตำแหน่ง "โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" ที่คนมาแรงอย่าง "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" ได้เป็นคนก้าวขึ้นโพเดียม-ครอบครองไมโครโฟนแห่งทำเนียบ "ดอนเมือง"
กาลเวลาทำให้ ณหทัย ทิวไผ่งาม ผ่านร้อน-ผ่านหนาว-ผ่านข่าวคาว-เรื่องอื้อฉาวมาได้ด้วยความเข้มแข็ง วันนี้เธอแข็งแรงพอที่จะออกมา...พูด...ทุกเรื่องราว พร้อมเล่าถึงแฟนหนุ่ม แทน สมบูรณ์ทรัพย์ ด้วย
ณหทัย ทิวไผ่งาม
ยังอยากกลับเข้ามาในการเมืองอีกมั้ย
อ้อ ณหทัย : ถ้าเข้าไปทำงานก็ต้องมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่สามารถทำงานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่หน่วยไหนที่ไม่ใช่การเมืองก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ถ้าเข้าการเมืองก็อยากจะเน้นการทำงานเป็นหลัก เพราะพอมันเกิดอะไรที่มันเป็นเรื่องการเมื้อง...การเมือง โครงการมันก็จะชะลอที่ควรจะเสร็จ 6 เดือนก็ยืดไปอีก หรือทำให้ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำไป ก็หวังว่าในวันหนึ่งประเทศไทยเราก็จะถึงวันนั้น
แสดงว่าช่วงนี้ยังไม่เหมาะที่จะกลับเข้ามาเล่นการเมือง
อ้อ ณหทัย : ต้องบอกว่าการเดินไปของประเทศไทย การเมืองเป็นกลไกที่สำคัญ นโยบายรัฐเป็นเรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญ กิจกรรมหรือเศรษฐกิจที่เติบโตได้ไม่ได้มีภาคการเมืองอย่างเดียว ก็ยังมีภาคเอกชนที่เข้มแข็งเช่นกัน เพราะฉะนั้นในวันนี้เราไม่ได้เข้าการเมือง เราก็กลับมาเป็นเอกชนที่เข้มแข็งได้ ตอนนี้เราก็กลับมาทำงานที่เรียกว่าเป็น hard core เป็นหัวใจในการพัฒนามนุษย์เลย คือการให้ความรู้ ต้องพัฒนาทั้งครูและนักเรียน
ข่าวครั้งสุดท้ายที่ทำเนียบดอนเมือง กำลังจะเป็นโฆษกรัฐบาล เกิดอะไรขึ้นในช่วงนั้น
อ้อ ณหทัย : ก่อนจะกลับไปการเมือง เห็นหลักสัจธรรมของชีวิต ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แล้วมาบวกกับการเมืองอีก เราคิดไว้เลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็พร้อมที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้ที่มีคนมาทาบทามให้กลับไปช่วยในตรงนั้น โดยสถานการณ์ตรงนั้นที่ขาดความเข้าใจของหลายๆ ฝ่าย ด้วยตัวของอดีตนายกฯ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ก็เป็นคนประนีประนอม เราเองก็น่าจะเป็นคนประนีประนอมบ้าง และคาดว่าหัวใจที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลกับประชาชนก็คือการสื่อสารซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความรักความสงบสุขในหมู่คนไทยด้วยกัน ก็คิดว่าเรามีพลังที่เราอยากจะทำตรงนี้ด้วย
อ้อ ณหทัย : ซึ่งก็รู้ว่ามันก็มีความแรงจากหลายด้านอยู่ แต่ถ้าเราไม่มีพลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่เราจะรักเพื่อนคนไทยที่เราจะมีโอกาสทำอะไรบางอย่างได้ จะอยู่เฉยๆ ก็ได้ อยู่โรงเรียนสบายๆ แต่คิดว่าถ้าผนึกทีมแล้วมาร่วมกันคิดทำอะไรที่มันนำไปสู่ความสงบสุขของประเทศ เพราะใครๆ ก็มองว่าประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ทำไมคนไทยมาทะเลาะกันเอง อาจจะต้องมีคนกลางที่มีความประนีประนอมและอดทน เข้าใจในความเป็นประเทศไทย แล้วรักประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นเราคนเดียว แต่เป็นทีม เป็นพลัง เป็นกลุ่มคน
อ้อ ณหทัย : เราก็นึกว่าเราน่าจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งตรงนั้นได้ ถามว่าเมื่อเป็นคนอื่นมาแทนเราก็คิดว่าเขาก็คงทำได้เช่นกัน แล้วในเบื้องต้นเราก็ถูกทาบทามในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ถูกทาบทามในตำแหน่งอื่นๆ ใดๆ ซึ่งเราก็คิดว่าถ้ามาเป็นคนช่วยตรงนี้เราก็จะทำ เพราะเราก็มีงานในโรงเรียนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปฏิรูปโรงเรียนของเราด้วย แต่เมื่อมีคนที่เป็นกลุ่มก้อนตรงนี้แล้วทำงานได้เช่นกัน เราก็โอเค...ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
เกิดความขัดแย้งกันในทีมหรือเปล่า
อ้อ ณหทัย : ไม่มีความขัดแย้งอะไรค่ะ แค่คิดว่าก็บอกแล้วว่างานที่โรงเรียนก็มี แล้วเราก็ไม่จำเป็นว่าพอหลุดจากโฆษกแล้วจะไปเป็นอะไรก็ได้ เราไม่ได้ต้องการกลับไปการเมืองขนาดนั้น ก็บอกแล้วว่าจุดยืนของณหทัยก็อยู่ตรงที่ว่า ถ้าคุณคิดว่าแน่จริง คุณอยู่ตรงไหน คุณก็ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ก็คิดหลักการในชีวิตแบบนั้น ตอนนั้นผู้ใหญ่ก็มาทาบทามด้วยตนเอง ไม่อยากจะยื้ออะไรมากมาย เป็นคนที่รู้ว่าทำประโยชน์อะไรได้
อ้อ ณหทัย : ก็รู้ว่าแรง ช่วงนั้นแรงมากแรงจริงๆ คงเห็นว่าเราแรงไม่พอเลยต้องใช้คนแรง แต่เราก็คิดว่าบางทีความแรงก็ไม่ได้ยุติด้วยความแรงเสมอไป มันต้องอยู่ที่หัวใจที่มาจากความรักประเทศไทยที่ส่วนรวม ไม่ได้แบ่งแยกว่านี่ไทยเหนือ นี่ไทยใต้ มันต้องออกไปนอกประเทศให้เยอะขึ้น แล้วรู้ว่าคนต่างประเทศเขามองคนไทยแบบไหน เราต้องมองว่านี่คือเพื่อนพ้องครอบครัวของเรา อย่าไปคิดว่านี่เป็นคนอื่น
ณหทัย ทิวไผ่งาม
ตอนเป็น ส.ส.มีข่าวคาวตลอด ออกจากการเมืองไปก็ยังมีข่าวตามไปรังควานอยู่
อ้อ ณหทัย : ไม่เคยหยุดค่ะ...จนกระทั่งแต่งงาน รู้...รู้เลยจริงๆ
เป็นเพราะอะไร ผ่านมาแล้วเมื่อย้อนกลับไปดูทำไมต้องเป็นเรา
อ้อ ณหทัย : อาจเป็นเพราะว่าความเจริญทางการเมืองของเรามันเร็วเกินไป ในประเด็นที่ว่าคุณสอบตกแล้วทำไมถึงยังไปได้ตำแหน่ง ทั้งๆ ที่มีคนที่มีคุณสมบัติ แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ว่าจะให้เราเป็นถาวรจนจบสมัย เกาะเก้าอี้ติดกาวตราช้าง...มันไม่ใช่ มันก็มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คิดว่าอาจจะเป็นความเข้าใจผิด หรืออะไร หรืออาจจะเป็นเรื่องของการเมืองที่นำไปสู่การทำลายสถาบัน มันก็ต้องมีตัวละครที่จะต้องโดนดึงเข้าไป อาจจะแต่งเรื่องขึ้นมา หรือเอาคนโน้นมาบวกกับคนนี้ ทุกเรื่องในชีวิตที่เข้ามาที่เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ เรื่องชู้สาว...มันไม่เคยเป็นความจริงสักครั้งเดียว
เพราะความสวยเป็นเหตุหรือเปล่า
อ้อ ณหทัย : อืม...ใช่ ความสวยเป็นเหตุ ผู้หญิงโสดก็เลยไม่กล้าเข้าการเมืองหรือเปล่า จริงๆ ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เป็นเรื่องของจังหวะมากกว่าที่เป็นเรา แล้วเราก็คงไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อมองย้อนกลับไป คิดแค่ว่าทำให้เราเข้มแข็งขึ้นในความเป็นผู้หญิง...จบ แค่นั้นเอง ในเมื่อทุกอย่างมันไม่จริง แล้วคนที่เขาพูดเขาก็คงโดนกรรมตามสนองไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปแล้ว
คือไม่ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายนพดล ปัทมะ ตั้งแต่แรกเลย
อ้อ ณหทัย : เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วนะคะ กับคุณทักษิณเราก็เป็นลูกพรรคคนหนึ่งเหมือน ส.ส.หญิงทั่วไป อันนี้แต่งแต้มขึ้นมาเองหมด ส่วนคุณนพดลเคยมีโอกาสได้คบกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ผู้หญิงผู้ชายทั่วโลกด้วยวัย 30 กว่า ใครๆ ก็สามารถคบปะกันได้ แต่สุดท้ายจะลงเอยกันด้วยการเป็นเพื่อนหรือเป็นคู่แต่งงานก็แล้วแต่ ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงผู้ชายทุกคน ถูกไหมคะ แล้วทุกวันนี้ก็ยังคบนับถือเป็นพี่ชายเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจ
อยากกลับเข้าไปการเมืองอีกครั้งหรือเปล่า
อ้อ ณหทัย : ถ้าสามารถเป็นประโยชน์ได้อย่างที่บอกไปสมัยนายกฯสมชาย ก็คิดว่าจะกลับ แต่ก็ต้องดูว่าจะกลับไปทำอะไร
กลับไปในพรรคเพื่อไทย หรือกลับไปในแนวไหน
อ้อ ณหทัย : กลับไปในแนวไหนก็ได้ที่ทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น ไม่ต้องเป็นใคร แค่ว่าใครก็แล้วแต่ที่มีศรัทธาในการยุติความขัดแย้งให้เกิดขึ้น คือเต็มใจ เพราะเราเป็นคนนอกมาโดยตลอดช่วงนี้ 3-5 ปี ประเทศไทยมีศักยภาพต่างๆ มากมาย ทำไมพวกเราต้องมาทำร้ายกันเองอย่างนี้มันน่าเศร้านะคะ แค่เปลี่ยนทัศนคตินิดเดียว แต่บางทีมนุษย์เราก็มีอัตตา
ไม่เลือกพรรคถ้ามีคนมาเชิญ
อ้อ ณหทัย : ตอบอย่างนี้ดีกว่าว่า พรรคที่มีอุดมการณ์ตรงกับความเป็นณหทัยแค่นี้ ซึ่งความเป็นณหทัยเป็นอย่างไร ตอบไปหลายคนแล้ว แต่บางคนยังไม่รู้ เอาเป็นว่าถ้ามันใช่มันก็ใช่ ก็เหมือนจะแต่งงาน ไม่ต้องพูดอะไร ใช่ก็คือใช่
แต่งงานกับ แทน สมบูรณ์ทรัพย์ แล้วก็ยังจะกลับมาเล่นการเมืองอีก
อ้อ ณหทัย : โดยตัวแฟน ( แทน สมบูรณ์ทรัพย์ )เขาไม่ได้ขัดข้องอะไร จะทำอะไรก็ได้ที่เรารักที่จะทำ ให้เราเป็นตัวของเราเองเต็มที่ มนุษย์เราก็น่าจะมีคนที่รักในความเป็นเราจริงๆ ไม่ต้องเป็นการเมือง เป็นอะไรก็ได้ที่อยากทำให้คนไทยรักกัน ไม่ได้หวังว่าจะต้องไปมีตำแหน่ง แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งแล้วสามารถเป็นจุดกำเนิดสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยรากฐานได้จริงๆ ก็คิดว่าน่าสนใจค่ะ
การเป็น ส.ส.กับคุณครู อะไรทำให้มีความสุขที่สุด
อ้อ ณหทัย : มันมีความสุขคนละอย่างจริงๆ แต่ละอย่างในอาชีพมันก็มีความสุขได้หมดนะคะ เพียงแต่เราจะมองทุกอย่างในชีวิตให้มีแง่บวกแง่ลบ การเมืองมันก็มีแง่บวกแง่ลบ การเป็นครูมันก็มีแง่บวกแง่ลบ แต่มีอย่างหนึ่งก็คือเราต้องทำตัวเป็น role model ต้นแบบที่ดี ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.หรือเป็นครูก็แล้วแต่ สวยไม่สวยก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยจรรยาบรรณของ 2 อาชีพนี้ก็ต้องมีหลักการของการวางตัวทำให้คนเคารพนับถือและเชื่อมั่น
มีเรื่องอะไรที่จำได้แม่นตอนเป็นนักการเมือง
อ้อ ณหทัย : พูดแล้วก็ขนลุก มีคุณตาคนหนึ่งตอนลงพื้นที่หาเสียงไปเจอ ท่านก็ถามว่าจะมาทำอะไร เป็นแล้วจะไปทำอะไรได้ เราก็พยายามอธิบายว่าเราจริงใจ เป็น ส.ส. อยากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงผลักดันในพื้นที่อย่างไรบ้าง ก็พูดยาวแต่ตอนแรกด้วยคำถามที่ค่อนข้างแรงกับคนแก่ที่คงมีความผิดหวังในความเป็นนักการเมืองมาพอสมควร จนสุดท้ายคุณตาร้องไห้ อาจจะเพราะเราไปพูดแทงใจดำอะไรในทางที่ดีนะ แล้วเขาก็บอกว่าจะไปเลือก แต่ขอให้ทำตามที่เราได้พูดไว้จริงๆ นะ มันเป็นการเขย่าอารมณ์มากในวันนั้น จำได้แม่นที่สุด เป็นการลงเลือกตั้งครั้งที่ 2 หลังจากชวดไป
ณหทัย ทิวไผ่งาม
ฟังดูแล้วยังอยากกลับเข้าไปเล่นการเมืองอีก
อ้อ ณหทัย : ไม่ใช่คนเดียวที่นับจากวันที่ออกจากการเมืองมาคุยกับคนรุ่นเดียวกันตั้งแต่อายุ 27-37 ปี ใน 10 คน มี 7 คนที่มีความคิดที่ดีต่อประเทศชาติ อยากเห็นอะไรดีๆ เกิดขึ้น อยากเห็นความสมานฉันท์ อยากเห็นประเทศไทยเจริญเหมือนประเทศอื่นรอบประเทศเรา จริงๆ เราเป็นได้มากกว่าสิงคโปร์นะ แต่ด้วยความที่เราไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในประเทศชาติได้ในบางจุด ทำให้เราชะลอศักยภาพในเรื่องนี้ไปเยอะ แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาเล่นการเมืองเพราะเห็นแล้วว่ามันเป็นวงการที่โหดร้าย มีคำพังเพยประจำตัวว่า อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว จะไปเจ็บตัวทำไม นี่คือคำตอบว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เราคนเดียว แต่อีกหลายคน
ถ้าไม่สวยไม่โสดก็ไม่โดน
อ้อ ณหทัย : จริงๆ มีคนสวยเยอะนะ แต่ว่าจุดเริ่มต้นทางการเมืองแตกต่างกันไป ติดตามนักการเมืองผู้หญิงหลายคน อาจจะสวยน่ารัก สวยน่าเอ็นดู แต่ว่าเราเกิดในตอนนั้นมันเป็นจุดเกิดแห่งความขัดแย้ง แล้วไม่ว่าอะไรในโลกมนุษย์ที่มันเกิดด้วยความขัดแย้ง เกิดด้วยความแปลกมันจะเป็นจุดสนใจของปุถุชน แล้วเราไปลงสมัคร ส.ส.ในเขตที่มันไม่ควรจะเป็นเขตของเด็กใหม่ไปลง
อ้อ ณหทัย : แล้วก็ด้วยว่าเราจบมาแบบนี้แล้วทำไมเรามาเป็นนักการเมือง อาชีพอื่นไม่มีทำแล้วหรือ แต่ก็ต้องบอกว่าด้วยอุดมการณ์ทำให้ไม่คิดมาก แต่ถามว่าความใฝ่ฝันตอนเด็กๆ บางคนในโรงเรียนมีอยากเป็นนักการเมือง อยากเป็นนายกฯ แต่เราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น แค่ว่าอยากเป็นคนดีของสังคม พ่อแม่พร่ำสอนมาโดยตลอดว่าอย่าทำให้ใครเดือดร้อน และจงเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนกวาดถนน พี่คนงานที่บ้าน เป็นใครก็แล้วแต่ ด้วยอะไรก็ไม่ทราบทำให้เราต้องเข้ามาอยู่ในวงการนี้
เจอ แทน สมบูรณ์ทรัพย์ (ว่าที่เจ้าบ่าว) ได้อย่างไร
อ้อ ณหทัย : เจอ แทน สมบูรณ์ทรัพย์ ที่เมืองไทยนี่ละค่ะ มาในกลุ่มเพื่อนที่เรารู้จัก หลังจากนั้นก็ลองคุยกับ แทน สมบูรณ์ทรัพย์ โดยใช้ไอที skype คุยกัน เพราะว่า แทน สมบูรณ์ทรัพย ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย แล้วก็ตั้ง scenario มี case study เหมือนตอนเรียนปริญญาโทให้ลองวิเคราะห์คิด เออ...ใช้ได้นี่ คิดมุมนี้ใช้ได้พอ แทน สมบูรณ์ทรัพย์ มาเจอคุณพ่อ ก็เออ...ทำไมพ่อแม่เราชอบ ก็เลยโอเค แต่เรื่องความรัก love at first sight ตกหลุมรัก หลอมละลายอะไรอย่างนี้ไม่ใช่ค่ะ คงเป็นสมัยวัยรุ่นหรือไม่ก็อยู่ในนิยาย ความจริงก็อยากหลอมอยู่เหมือนกันนะ แต่คงไม่มีชาตินี้แล้ว
เรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาถ้าให้เลือกได้อยากให้ข่าวออกมาอย่างไร
อ้อ ณหทัย : อดีตก็คืออดีตที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็แล้วไปแล้ว เราก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับนักการเมืองโดยเฉพาะผู้ชาย และผู้ชายโดยทั่วไปด้วยว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า ตั้งแต่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน วันนี้มันเปลี่ยนไปในแง่ของการทำงานและการรับผิดชอบต่อสังคมประเทศชาติ ผู้หญิงก็ทำได้ไม่แพ้ผู้ชาย ณ วันที่ต้องกลับไปอยู่บ้าน ไปเลี้ยงลูก ไปทำกับข้าว เป็นแม่บ้าน เขาก็ทำได้อีก เมื่อก้าวออกมาจากบ้านผู้ชายก็ต้องเคารพในสิทธิตรงนี้ด้วย จะพูดอะไรลองให้ผู้หญิงออกมาแล้วนั่งปล่อยข่าวด่าผู้ชายมันจะแรงกว่าผู้ชายด่าผู้หญิงไหม มันก็ไม่ใช่
อ้อ ณหทัย : เพราะฉะนั้น ระงับที่ต้นตอของความเป็นสุภาพบุรุษของคนที่เป็นผู้ชาย ไม่ต้องวงการไหนหรอก ถ้าย้อนกลับไปได้ ไม่ต้องย้อนหรอก เอาวันนี้เลยดีกว่า อดีตผ่านไปแล้ว กลับไปคิดเรื่อยๆ ก็ไม่มีประโยชน์ จากวันนี้ไปขออย่าให้มีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นกับนักการเมืองผู้หญิงคนใดในแผ่นดินไทยอีกเลย...สาธุ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากประชาชาติ