ก่อนที่ท่านจะอ่านเรื่องของผมในตอนนี้ ขออนุญาตเรียนว่าผมเขียนจากประสบการณ์ที่ผมได้พบจริง ๆ และเป็นเรื่องที่ผ่านเป็นอดีตแต่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม เนื้อหาค่อนข้างมากจึงขอแบ่งเป็นตอน ๆ ไป ดังนั้นหากท่านผู้อ่านมีความเห็นสิ่งใดจะแนะนำ ผมขอน้อมรับคำแนะนำนั้นด้วยความยินดียิ่ง และขอขอบคุณทุกความเห็นที่ส่งมายังผมด้วยความขอบคุณ
หลังจากที่ผมได้มาอยู่ลำปางได้ประมาณปีกว่า ๆ(ปี 2537) ที่ทำงานของผมนั้นติดกับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกึ่งมูลนิธิในพระพุทธศาสนา ช่วงนั้นผมก็มีเวลาว่าง ไม่อยากให้ลืมวิชาที่เรียนมา เลยไปติดต่อที่โรงเรียนเพื่อขอทำการสอนเป็นวิทยาทาน (ไม่ขอรับค่าตอบแทน) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ โดยโรงเรียนจัดให้สอนในช่วงเที่ยงครึ่งถึงบ่ายโมงครึ่งในวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่า ผมจบนิติศาสตร์มา จริง ๆ แล้วควรจะสอนสังคมศึกษามากกว่า แต่เนื่องจากว่ามีประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษสมัยที่รับราชการอยู่ประจวบคีรีขันธ์ ก็คิดว่าน่าจะสอนได้ สมัยนั้นไม่ได้เน้นหรอกว่าครูจำเป็นต้องมีวุฒิครูหรืออะไร ขอให้สอนได้เป็นพอ
ก่อนที่จะเข้าสอนก็ต้องมีการพบปะครูใหญ่ก่อน สิ่งแรกที่ครูใหญ่บอกให้กับผมก็คือ เด็กโรงเรียนนี้เป็นเด็กคัดทั้งนั้น ผมก็ว่าดีเด็กคัดสอนง่าย แต่คำตอบที่ได้รับจากครูใหญ่นั่นสิคือเรื่องที่ต้องคิด ในคำพูดที่ครูใหญ่เฉลยว่า เด็กคัดที่ว่าน่ะ คือคัดออกจากโรงเรียนอื่นมาแล้ว เราก็คิดว่าเอาวะ เอาไงเอากัน ผมได้รับมอบหมายให้สอนภาษาอังกฤษชั้น ม.3 ทั้งหมด ซึ่งมี 3 ห้อง ๆ ละ 50 คน (อะไรจะมากมายขนาดนี้) แต่ก็สู้โว้ย
หลังจากรับหนังสือจากวิชาการแล้ว เรามีเวลาเตรียมตัวไปอ่านเอกสารการสอน 1 สัปดาห์ ดูเนื้อหาแล้วคาดว่านักเรียนต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดี จึงจะสามารถใช้ตำราเล่มนี้ได้ เพราะบทแรกจะเป็นการพูดถึงการบรรยายความรู้สึกของคนที่เราประทับใจ เรื่อง Someone I admire ก็เตรียมการสอนมากพอสมควร
เมื่อถึงวันแรกเข้าไป เดินผ่านครูเก่า ๆ เค้าถามว่ามาใหม่เหรอ เราก็ตอบรับ เค้าก็ถามต่อว่าสอนห้องไหน ก็บอกว่า ม.3/3 ครับ เค้าบอกว่า ถ้าผ่านห้องนี้ได้ ห้องอื่นก็ไม่น่ามีปัญหา (ไรวะ อันนี้ให้กำลังใจหรือเดือนภัยกันแน่) พอก้าวเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือนักเรียนที่อัดกันเป็นปลากระป๋อง ประมาณ 60 คน ทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะตื่นเต้นที่มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในห้อง เราก็เริ่มที่ทักทายนักเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ทุกคนเงียบ ๆ จนน่ากลัว (มันจะเอาไงกะเราวะ) จนแนะนำตัวเองเสร็จ ก็ถามว่ามีอะไรจะถามครูไหม สิ่งที่ทุกคนตอบก็คือ ครูครับพูดภาษาไทยเหอะ ที่ครูพูดมาทั้งหมดไม่รู้เรื่องเลย
พอถึงตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร ก็ปรับใหม่ เริ่มสอนในเนื้อหาที่เตรียมมา ค่อย ๆ อธิบายศัพท์สอนการอ่าน ปรากฏว่านักเรียน 60 คน ได้ยินเสียงอ่านเพียงคนสองคน เอาล่ะสิ งานเข้าแล้ว จะทำไงต่อ ก็บอกนักเรียนว่า คาบแรกเรายังไม่เรียนกัน มาคุยปัญหาการเรียนกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนบอกว่าขอให้สอนเริ่มต้นใหม่หมดเลย ปัญหาที่เกิดก็คือ บางครับ a-z ก็ยังไม่ได้ ทำให้เราเริ่มมีปัญหาว่า แล้วผ่านมาถึง ม.3 ได้ไง หลังจากที่สอนอีก 2 ห้องก็อยู่ในสภาพเดียวกัน จะมีโดดเด่นว่าพอจะไปได้ไม่ถึง 5 คนจึงไปปรึกษาวิชาการว่า ถ้าจะสอนตามวัตถุประสงค์ แต่ขอปรับเนื้อหาได้ไหม เค้าบอกว่าไม่ได้ ต้องสอนตามหนังสือ และต้องประเมินผลตามหนังสือด้วย เลยต้องใช้วิธีสอนตามเนื้อหาสลับการไวยากรณ์พื้นฐานไปด้วย พยายามเน้นศัพท์ให้มากเพราะปัญหาคือเด็กไม่รู้อะไรเลย ให้ทำการบ้านหรือแบบฝึกหัดเรียกได้ว่าคนตรวจแทบร้องไห้ เพราะผิดหมดเกือบทุกคน แถมปัญหาก็คือ เด็กจะไม่ยอมทำการบ้านหรือแบบฝึกหัดที่ยาก เด็กยอมถูกทำโทษอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่ครูไม่ถามหาการบ้านก็พอ เหมือนเรียนให้ผ่านไปวัน ๆ จึงต้องไปคุยกับครูทั้งหลายว่ามันต้องมีอะไรที่เป็นปัญหามากกว่านี้ สิ่งที่ทราบคือ เด็กพวกนี้เป็นเด็กมีปัญหา เกเรบ้าง ยากจนบ้าน ทางบ้านมีปัญหาบ้าง ติดเกมส์ ติดหญิง ฯลฯ เลยถึงบางอ้อ แต่ข้อที่ผมได้พบก็คือ โรงเรียนครูกับผุ้บริหารมีปัญหากัน และการสอนก็ไม่ค่อยจะเต็มที่ บางครั้งครูเข้าไปก็ไม่สอนอะไรเลย แต่อะไรไม่ร้ายเท่า ปัญหาเด็กหนีเรียนสูงมาก เท่าที่ตรวจสอบเวลาเรียนและบันทึกการสอน ผมก็เลยนำเรื่องไปปรึกษากับที่ปรึกษา ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับก็คือ แล้วจะให้ทำอย่างไร (พูดแปลกว่ะ) สมัยผมถ้าขาดเรียนเกิน 3 ครั้งเนี่ย โดนอัญเชิญผู้ปกครองพบแล้ว โรงเรียนนี่แปลกจัง แต่เรายังไม่ว่าอะไร เพราะมาเทอมแรก ขืนไปรู้มากเดี๋ยวจะสอนอย่างไม่มีความสุข เพราะผมไม่ใช่ครูประจำ เป็นแค่ครูพิเศษที่ไม่ได้กินเงินเดือนของโรงเรียนเท่านั้น