ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
๏ ๏ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ๏ ๏
-พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒-๓ -
๏ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก
ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี
เจ้าพลายกระสันพันทวี
รำลึกถึงนารีศรีมาลา
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วยพี่
จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา
คิดพลางเดินพลางตามทางมา
ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก
เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน
ดูโครมครึกกึกก้องท้องพนานต์
พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก
แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล
บ้างเหมือนกลิ่นภู่ร้อยห้อยเรียงราย
ตรงตระพักเพิงผาศิลาเผิน
ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย
เป็นวุ้งโว้งเพรงพรายดูลายพร้อย
บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ
ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย
บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม
บ้างโปปมเป็นปุ่มกะปุบกะปิบ
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลับลิบ
โล่งตะลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์
เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย
ลมช่วยหล่นลอยกระแสสินธุ์
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน
ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า
สัตตบุษย์บัวแดงขึ้นแฝงฝัก
พรรณผักพาดผ่านก้านบุบผา
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตะวา
ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร....
(ที่คุณพี่เมธีดำ ให้ความเห็นไว้ที่ #๓๓ ครับ)
๏ ๏ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ๏ ๏
ของ -พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
๏ วังเอ๋ยวังเวง
หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
แลทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียวเอย.....
๏ ความเอ๋ย ความรู้
เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป
ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา
ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน
กระแสวิญญาณงันเพียงนั้นเอย.......
๏ ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร
ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท
ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย
เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย
โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัยเอย.....
๏ ๏ โลกนิติคำโคลง ๏ ๏
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง)
๏ พึงอวยโอวาทไว้......ในตน ก่อนนา
จึงสั่งสอนสาธุชน........ทั่วหล้า
แต่แรกเร่งผจญ..........จิตอาต-มาแฮ
สัตว์อื่นหมื่นแสนอ้า.....อาจแท้ทรมาน
๏ คุณแม่หนาหนักเพี้ยง.....พสุธา
คุณบิดรดุจอา.................กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา................เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง..........อาจสู้สาคร
๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้......สุขสบาย
เย็นญาติทุกข์สำราย........กว่าไม้
เย็นครูยิ่งพันฉาย............กษัตริย์ยิ่ง ครูนา
เย็นร่มพระเจ้าให้............ร่มฟ้าดินบน
๏ วิชาควรรักรู้................ฤๅขาด
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์.......ว่าน้อย
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ............มีมั่ง
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย..........ชั่วลื้อเหลนหลาน
จบบทท่องจำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ครับ
(ผมคลับคล้ายคลับคลาถึงอีกบทหนึ่งที่มีเนื้อความว่า)
"ถึงหน้าวังดังประหนึ่งใจจะขาด
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ประคุณทูนเกล้าของสุนทร...............
.....ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่กล้ำกลายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน "
จำไม่ได้ครับว่าเป็นของชั้นไหน
แต่ของ ม.ศ.๓ ที่ไม่เป็นอาขยาน แต่ชอบ
คือบทใน "นิทานเวตาล"
๏ ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร
มิอาจประสบพบสุข
๏ ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก
ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา
๏ จงจรเที่ยว เทียวบทไป
พงพนไพร ไศละลำเนา
๏ ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา
แบ่งทุกขะเบา เชาวนะไวฯ
๏ ชายหาญชาญเชี่ยวเทียวไพร สองขาพาไป
บ่มัวบ่เมาเขลาขลาด
๏ ขาเขาคือกิ่งพฤกษชาติ ช่อชูดูดาษ
และดกด้วยดอกออกระดะ
๏ ไป่ช้าเป็นผลปนคละ โต ๆโอชะ
รสาภิรสหมดมวล
๏ โทษหลายกลายแก้แปรปรวน เจือจุนคุณควร
เพราะเหตุที่เที่ยวเทียวเดิน
๏ จงจรเที่ยวเทียวบทไป
พงพนไพร ไศละดำเนิน
๏ ดุ่มบถด่วน ชวนจิตเพลิน
ใดบ่มิเกิน เชิญบทจร ฯ
๏ เชิญคะนึงซึ่งพระทินกร ฤาหลับฤานอน
ธ เดินและด้นบนสวรรค์
๏ เธอมีความสุขทุกวัน หมื่นกัปแสนกัลป์
บ่อ่อนบ่เปลี้ยเพลียองค์
๏ จงจรเที่ยว เทียวบทไป
ตั้งจิตใน ไพรพนพง
๏ ดูทินกร จรจิรยง
แสนสุขทรง ทุกขะบ่มี ฯ
นอกจากนี้ยังมี สามัคคีเภทคำฉันท์ รู้สึกจะเป็นของ มศ.๔
" ๏ พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา
สุดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว
๏ บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
๏ แลหลังละลามโล หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย... "
-webslave