Advertisement
อิตาลี : โรม, นครอมตะนิรันดร์กาล ตอน 2
ทริปในวันต่อมา...พวกเราตัดสินใจไปเที่ยวทิโวลี่ Tivoli ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีดีตรงที่มีมรดกโลกถึงสองแห่ง คือ Villa D'este กับ Villa Adriana ทั้งสองแห่งนี้ เป็นเจ้าแห่งสวนสวยแบบอิตาเลียนครับ..
และเนื่องจากวิลล่าทั้งสองจะปิดในวันจันทร์ พวกเราจึงตัดสินใจขยับทุกอย่างในโรมไปไว้ในวันแรกของการท่องเที่ยว เพื่อจะได้ใช้เวลาในวันที่สองในเมืองทิโวลี่ครับ..วิลล่า แปลว่าบ้านพักตากอากาศ นักท่องเที่ยวมาที่นี่เพื่อชมความอลังการของการจัดสวนในวิลล่า
Villa D'este กับ Villa Adriana สร้างขึ้นห่างกันพันกว่าปี วิลล่าเอเดรียนา คือต้นตำรับแห่งสวนโรมันแท้ๆ สร้างขึ้นระหว่างปี 118-138 และวิล่าเดลเต้ คือเจ้าพ่อของสวนอิตาเลียนเรอเนสซองส์ ออกโดย ปิเอโร่ ลิริโอ สถาปนิกใหญ่ออกแบบตามความต้องการของเจ้าของบ้านที่บอกไว้สั้นๆ ว่า one of the wealthiest ecclesiastics of the sixteenth century” เฉพาะส่วนที่เป็นสวนใช้เวลาในการออกแบบนานถึง 17 ปี
เมืองทิโวลี่นี้ อยู่ไกลจากกรุงโรมประมาณ 40 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง โดยสามารถเลือกเดินทางได้ทั้งทางรถไฟและรถบัส แต่ถ้ามาทางรถไฟ จะต้องลงที่สถานีที่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวประมาณ 4 กม. ในขณะที่รถบัสจะลงตรงหน้าร้านขายบุหรี่ ซึ่งห่างไปแค่ 200 ม.เท่านั้น..พวกเราเลยเลือกรถบัสครับ..
แต่เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล พวกเรามาถึงก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว คนเลยรอกันอยู่เพียบ เต็มหน้าวิลล่าเลยทีเดียว..รวมทั้งกลุ่มแม่ชีด้วย..
พอซื้อตั๋วเสร็จ ผ่านด่านเข้าไป ก็จะเจอกับ Court แบบนี้ ซึ่งเป็นอาคารด้านหน้า โดยอาคารนี้จะตั้งอยู่บนผา ดังนั้น ส่วนนี้จึงถือว่าเป็นชั้นบนสุดของอาคารก็ได้ครับ และจากนี้ไป พวกเราก็ได้แต่เดินลง และลงไปเรื่อยๆ เพื่อไปชมสวนอิตาเลียนที่ลือชื่อ กับน้ำพุแสนสวย..
เบรกนิดนึงครับ..คือวิลล่าที่เราไปเที่ยวกันนี้ คือวิลล่า ดิเอสเต้ หรือ Villa D'este เป็นวิลล่าเก่าแก่มีอายุกว่าห้าร้อยปี โดยระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างยาวนานถึ 17 ปีเลยทีเดียว
วิลล่า ดิเอสเต้นี้ จัดว่าเป็นเจ้าแห่งสวนสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองค์ ผนวกกันน้ำพุอีกห้าร้อยแห่ง มากกว่าน้ำพุในกรุงโรมทั้งหมดเสียอีก..
จากภาพที่เห็นด้านล่าง เป็นมุมมองจากห้องข้างที่มองออกไปเห็นวิวภายนอก จากนั้น พวกเราก็เดินลงผ่านบันไดเวียน (อันที่จริงที่อาคารนี้ มีบันไดอย่างน้อยสามแห่ง ที่เปิดให้พวกเราเดินกันได้)
พอถึงชั้น Ground ของอาคาร ก็จะมีร้านอาหาร ที่น่าทานมากๆ แต่แพงไปหน่อย เมื่อเทียบกับเงินไทย (ตอนนั้น ยังปรับตัวเข้ากับน้ำดื่มขวดละ 60 - 200 บาทไม่ได้) เลยทานอาหารง่ายๆ กัน กลับมาคิดถึงตอนนี้ น่าจะทานให้คุ้มไปเลยดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว..มัวแต่งกอยู่ได้..
อีกมุมนึง ขณะนั่งทานอาหาร..
แต่ผมก็สังเกตุเห็นฝรั่งที่มาเที่ยวหลายคนที่พกพาอาหารเข้ามาทานกันเองเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็น Sandwich..
อย่างไรก็ดี ผมหาคนไทยในวันนั้นไม่เจอเลย..สงสัยที่นี่จะไม่ฮิตเท่าไร..
จากจุดเมื่อกี้ เราต้องลงไปอีกนะครับ เพื่อไปดูสวนของจริงซะที แต่ละที่ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน อันนี้เป็นน้ำพุ Pegasus..
และน้ำพุอะเธนา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนร้อยน้ำพุ หรือ Avenue of hundred Fountains โดยเป็นถนนคนเดิน ยาวประมาณ 600 เมตร แต่มีน้ำพุทั้งสิ้น 91 แห่ง (อันนี้ ลอกมาจากหนังสือ)
น้ำพุ Pegasus..
น้ำพุ Avenue
ถนนร้อยน้ำพุนี้ มีชื่อเสียงมาก และเป็นมุมถ่ายรูปที่โด่งดังของชาวอิตาเลียนเลยทีเดียว..
น้ำพุนกอินทรี (ไม่รู้ว่าจริงๆ เค้าให้ชื่อว่าอะไร) มองผ่านๆ เหมือนนกอินทรีย์จริงๆ มาเกาะอยู่ซะอีก
จากนั้น พวกเราก็ไปถึงส่วนบน (ย้ำว่าแค่ส่วนบน เพราะน้ำพุนี้มีสามชั้น และใหญ่มาก) ของน้ำพุไฮโดรลิค Fontana dell' Organo Idraullico ซึ่งมีชื่อเสียงมาก และเคยถูกตีพิมพ์เป็นแสตมป์ประจำชาติของอิตาลีด้วยครับ..
ภาพแบบเต็มตัวของเจ้าน้ำพุที่แสนอลังการนี้ครับ..
สำหรับน้ำพุนี้ จะมีการแสดงน้ำพุเป็นรอบๆ ห่างกันรอบละครึ่งชั่วโมงด้วยครับ
จากทางเดินข้างล่าง มองย้อนขึ้นไปที่ตัวปราสาท..
ดูสวนบ้าง..ขอไม่บรรยายนะครับ เพราะไม่เคยปลูกต้นไม้แล้วรอดเลย..
จริงๆ มุมนี้ ผมว่าสวยมาก แต่ถ่ายมาประสาอะไรไม่ทราบ ได้มาแค่เนี้ย..
เดินกันจนเหนื่อย เสร็จแล้วพวกเราก็เดินกลับขึ้นข้างบนกัน..
แล้วเราก็กลับขึ้นข้างบนทางอีกบันไดนึง.. ถ้าสังเกตุแสงจากหน้าต่างด้านบน จริงๆ แล้วเป็นช่องแสงที่อยู่บริเวณพื้นของ Court ที่เข้ามาตอนต้นนะครับ..
สุดท้าย เราก็กลับออกมาภายนอก แต่เนื่องจากพวกเราเสียเวลาไปเยอะกับวิลล่า ดิเอสเต้ ทำให้เราไม่มีเวลาพอสำหรับวิลล่า อเดรียน่า เพราะรถบัสเที่ยวสุดท้ายที่จะไป หมดในเวลาบ่ายสามแค่นั้นเอง
พวกเราก็เลยนั่งเลียไอติมแสนอร่อย และเก็บภาพรอบๆ ก่อนกลับบ้านครับ..
สำหรับสองวันแรกในกรุงโรม (ไม่นับวันที่เดินทางมาถึง เพราะยังไม่ได้เที่ยวเท่าไร)
ภาพชุดนี้ อาจจะดูเร่งๆ รีบๆ ไปบ้าง ไม่ค่อยได้ละเมียดละไมมากนัก อันเนื่องด้วยสาเหตุใหญ่ๆ จากข่าวที่เราได้รับมาว่าในกรุงโรมและเมืองใหญ่ๆ ในอิตาลี มักจะมีพวกไม่หวังดี คอย "เชือด" นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราอยู่
ตลอดเวลาที่อยู่ในกรุงโรมนี่ ยอมรับเลยครับว่าเครียดมาก เพราะไปเที่ยวกันเอง แถมพาเด็กๆ ไปด้วย เลยต้องคอยระวัง คอยเตือนกันอยู่ตลอด กลายเป็นไม่มีสมาธิในการถ่ายภาพเท่าไร พอตั้งกล้อง ก็ต้องคอยชำเลืองคนรอบข้างตลอด..วิตกจริตจริงๆ ช่วงนั้น..
แต่ยังโชคดี ที่ตลอดทริปของเรา ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนั้นเลย เจอแต่คนอิตาเลียนที่ยิ้มแย้ม ทักทาย พร้อมทั้งพูดจาสนุกสนานต้อนรับกันตลอดเวลา (แต่ในใจเราก็ยังคงระแวงอยู่ดีนะแหละ..)
สำหรับช่วงเวลาในกรุงโรม ยังมีเหลืออยู่อีกครึ่งวัน เพราะช่วงบ่ายวันต่อมา เราจะออกเดินทางไปยัง Hilight ของทริปเรา " Tuscany" แต่ผมขอยกไปอยู่ในตอนต่อไปนะครับ ในตอน "ทัสคานี..ที่รัก"
สุดท้ายขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและทนดูจนจบ..ติชมได้เหมือนเช่นเคยครับผม..
ภาพปิดของ issue นี้ด้วยภาพดอกไม้ในทิโวลี่ครับ..
วันที่ 21 ต.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,146 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,147 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,133 ครั้ง เปิดอ่าน 7,159 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,180 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,153 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,174 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,151 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,145 ☕ คลิกอ่านเลย
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 10,936 ครั้ง
เปิดอ่าน 11,107 ครั้ง
เปิดอ่าน 12,404 ครั้ง
เปิดอ่าน 55,030 ครั้ง
เปิดอ่าน 11,829 ครั้ง