ความลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทาง ตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณา บริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่ง กำเนิด ปรากฏการณ์อันลี้ลับมหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรจำนวนอีกมากหายได้หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอยชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับพาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทางวิทยุให้หน่วยควบคุมการบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใสและแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบกลับปั่นป่วนขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
อุบัติการณ์ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และเครื่องบินเป็นจำนวนมากในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชนที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิดเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคายต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับอย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มีนักบินและนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญในดินแดนของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัดเกี่ยวแก่ความลึกลับและความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่และการสาบสูญก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไปโดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle)
ศัพท์คำว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" หรือ "Bermuda Triangle" นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ Vincent H. Gaddis ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำ อธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 1964 แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. 1952 นาย George X. Sands เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณ น่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ
ต่อมาถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้นก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสาม เหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเนื้อหาสำหรับเป็นที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดา เป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณา บริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้
1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่ สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย
3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก
4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน
5. ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล
6. ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด
7. ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ
หลากหลายทฤษฎีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สมาชิกมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้างคะ เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากเลยนะ คนไหนมีความรู้เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาว่าอย่างไรกันบ้าง เม้นคุยกันได้ค่ะ
ที่มา เด็กดีดอทคอม