กาลเวลาผันผ่านมากว่า 7 ทศวรรษ สำหรับการประกวด "นางสาวไทย" เวทีอันทรงเกียรติของสาวงามที่เพียบพร้อมด้วยความงาม ความสามารถ และไม่ว่ายุคสมัยใด อีกหนึ่งสิ่งที่งดงามและอยู่คู่เวทีและสาวงาม ก็คือ "มงกุฎ" รางวัลอันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความงดงาม ความสามารถของสาวไทยผู้ครอบครอง โดยแต่ละยุคสมัยได้มีวิวัฒนาการการออกแบบที่สวยงามต่างกันไป ตั้งแต่ยุคนางสาวสยามต่อมาเป็นนางสาวไทย จนถึงปัจจุบันในยุค ที่ 6 ซึ่งสนับสนุนโดยสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และกำลังเฟ้นหาผู้ครองมงกุฎคนใหม่ คนที่ 45 ภายใต้แนวคิด "ทอแสงงามแห่งจิตใจ" ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ณ โรงละครอักษรา และชมการถ่ายทอดผ่านโมเดิร์นไนน์ทีวี ในเวลา 22.15 น. ของคืนวันเดียวกัน
การประกวดนางสาวไทย แบ่งจนถึงปัจจุบันได้ทั้งสิ้น 6 ยุค การออกแบบมงกุฎมีความแตกต่างกันไป ยุคที่ 1 พ.ศ. 2477 - พ.ศ. 2483 มงกุฎทำจากผ้าปัก เป็นผ้ากำมะหยี่ ปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายไทยต่างๆ เช่น ลายกนก ลายประจำยาม ประดับเพชรให้ดูระยิบระยับ ออกแบบจัดทำโดยกรมศิลปากร เป็นแบบแผนของการสรรสร้างมงกุฎนางสาวสยาม-นางสาวไทยในยุคบุกเบิก โดยในปี 2482 จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้ใช้คำว่า "ไทย" แทนคำว่า "สยาม" การประกวดนางสาวสยามจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น นางสาวไทยตั้งแต่นั้นมา และเป็นปีแรกที่กำเนิดสายสะพายนางสาวไทยด้วย จากนั้นในปี พ.ศ.2484 ประเทศไทยอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่มีการประกวดและใช้เวลาฟื้นฟูบ้านเมืองเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่ง ยุคที่ 2 พ.ศ. 2491 - 2497 รัฐบาลได้สนับสนุนให้จัดการประกวดนางสาวไทยขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2491 เป็นต้นมา เว้นไปหนึ่งปีคือ พ.ศ.2492 ซึ่งมีเพียงงานฉลองรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยสมัยนั้นมงกุฎยังทำจากผ้าปัก แต่มีการใช้เข็มกลัด และแหวนเพชร นำมาเสียบตกแต่ง จวบจนในปี พ.ศ.2497 เป็นปีสุดท้ายที่รัฐบาลมีบทบาทจัดการประกวด งานฉลองรัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไป เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง การประกวดนางสาวไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลองรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้จัดขึ้นด้วย แต่ระหว่างนั้นก็ยังมีการประกวดสาวงามอื่นๆ เวทีระดับท้องถิ่น และในโอกาสพิเศษเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ.2503 สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ ได้ทดลองจัดการประกวด "นางงามวชิราวุธ" ขึ้น และริเริ่มให้เกิดประกวดนางสาวไทยขึ้นอีกครั้งใน ยุคที่ 3 พ.ศ. 2507 - 2515 ยกเว้นปี พ.ศ.2513 ไม่มีการประกวด ยุคนี้เป็นยุคแห่งการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยใช้ตำแหน่งนางสาวไทยเป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียง และการประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งมงกุฏที่ใช้ได้เปลี่ยนจากมงกุฏผ้าปักมาเป็นมงกุฎเพชรเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นแบบเทียร่า (Tiara) คล้ายที่คาดผมมีลวดลายเป็นกระจัง ประดับเพชรแพรวพราวอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นก้านเล็กบางเบา ซึ่งออกแบบโดยสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ มงกุฏชิ้นแรกนั้นตัวเรือนทำด้วยเงิน ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ กว่า 200 เม็ด โดยนางสาวไทยที่ได้ครองมงกุฎเพชรคนแรก คือ อาภัสรา หงสกุล และเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย
จนมาในปี พ.ศ.2509 ได้มีการออกแบบมงกุฎใหม่ โดยฝีมือของสถาปนิกหนุ่มใหญ่ บุรินทร์ วงศ์สงวน ที่ปัจจุบันก็ยังฝากผลงานออกแบบมงกุฎจนถึงปีล่าสุด ซึ่งได้กล่าวว่า "ในปี พ.ศ.2509 ผมได้ออกแบบมงกุฏนางสาวไทยเป็นปีแรก โดยยึดตามแบบก่อนหน้า คือ แบบเทียร่า แต่ด้านหน้าจะดูใหญ่กว่าเสียหน่อย จนมาเปลี่ยนเป็นรูปแบบคราวน์ คือ ครอบรอบศีรษะ ในปี พ.ศ.2511 ของแสงเดือน แม้นวงศ์ และ พ.ศ. 2512 ของ วารุณี แสงศิรินาวิน ต่อมาในปี พ.ศ.2514 มงกุฎของ นิภาภัทร สุดศิริ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากมงกุฎแบบคราวน์แท้ๆ เมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้มีน้ำหนักมาก จึงได้ประยุกต์มงกุฎแบบคราวน์นี้ใหม่ โดยยังคงความสูงที่ตรงกลางด้านหน้า แต่ค่อยๆ ลดระดับจากด้านข้างลงมาถึงด้านหลัง เพื่อให้น้ำหนักเบาลง ผมคิดว่ามงกุฎเป็นสิ่งสำคัญอยู่คู่นางงาม เป็นสัญลักษณ์และเสริมให้ดูสวยสง่า จึงต้องทำให้สวยงามและสะดวกสบายผู้ใส่ด้วย และนับจากนั้นก็ยังคงใช้รูปแบบคราวน์ ที่ลดหลั่นไปด้านหลังแบบนี้ จวบจนปัจจุบัน" บุรินทร์กล่าว
จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2516 เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในเดือนตุลาคม จึงได้ระงับการประกวดไปจนถึง พ.ศ. 2526 และได้รื้อฟื้นการจัดประกวดนางสาวไทยขึ้นอีกครั้ง เพื่อคัดเลือกตัวแทนไปประกวดนางงามจักรวาลใน ยุคที่ 4 พ.ศ.2527- พ.ศ.2542 ยกเว้นปี 2539 ไม่มีการจัดประกวด เนื่องจากมีงานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งในยุคนี้สถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 ได้เข้ามาร่วมจัดการประกวด มงกุฎของบุรินทร์ วงศ์สงวน ยังคงได้รับความสนใจ ที่โดดเด่น ได้แก่ มงกุฏของภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ในปี พ.ศ.2531 ซึ่งเห็นได้ชัดเจนถึงมงกุฎที่เป็นแบบคราวน์ และลดหลั่นไปด้านหลัง หรือมงกุฎของ ยลดา รองหานาม นางสาวไทยในปี 2532 เป็นชิ้นที่กล่าวขานกันว่าสวยที่สุด ซึ่งปีต่อๆมา ก็ยังเพิ่มเติมด้วยไอเดียใหม่ๆ เรื่อยมา ให้ดูทันสมัย เช่น มงกุฎของ ภัสราภรณ์ ชัยมงคล นางสาวไทยปี พ.ศ.2533 ดูสวยแหวกแนว ด้วยรูปเส้นดาวกระจาย ไม่มีลายกนก แต่เป็นลายสมัยใหม่ใช้มาประกอบกัน หรือ มงกุฎของ จิระประภา เศวตนันทน์ นางสาวไทยปี พ.ศ.2534 ก็นับว่าเป็นแบบเพอร์เฟ็กท์ ฟอร์ม ที่สุด มีการใช้เพชรสีน้ำเงินสีของของวชิราวุธมาตกแต่ง เป็นมงกุฏที่ได้มาตรฐานของยุค ต่อมาใน ยุคที่ 5 พ.ศ.2543 - พ.ศ.2550 ยกเว้นปี พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นยุคที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีได้เข้ามาร่วมจัดการประกวด มงกุฎยุคนี้ยังเป็นแบบคราวน์ มีการปรับดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ คือลวดลายภายในแตกต่างไปในแต่ละปี เช่น มงกุฎของ ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นางสาวไทยปี พ.ศ. 2543 มีลวดลายที่อ่อนช้อย ละเอียด คล้ายกับเถาไม้เลื้อย ต่อมาในปี 2544 มงกุฎของ สุจิรา อรุณพิพัฒน์ ได้พัฒนาต่อมาจากปีก่อน เพิ่มเพชรล้อมพลอยสีน้ำเงิน บนปลายมงกุฎ ร่วมกับลวดลายกระจัง มีความโดดเด่นและลงตัวที่สุด จนกลายเป็นต้นแบบของมงกุฎในยุคนี้
ซึ่งในบางปีจะมีการปรับเปลี่ยนสีของอัญมณีที่ประดับบนหัวมงกุฎไปตามโอกาสพิเศษ เพื่อเป็นที่ระลึกในแต่ละปี เช่น มงกุฎของ สิรินทร์ยา สัตยาศัย นางสาวไทยปี พ.ศ.2547 เป็นสีฟ้าอ่อนเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลอง ครบ 72 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ส่วนมงกุฎของ ลลนา ก้องธรนินทร์ นางสาวไทยปี พ.ศ. 2549 เป็นสีเหลือง เนื่องในวโรกาส พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น
ยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป เป็นยุคที่ อสมท หรือ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เข้ามาร่วมจัดการประกวด โดยมงกุฎของ พรรณประภา ยงค์ตระกูล นางสาวไทยปี พ.ศ.2551 ยังคงเป็นแบบคราวน์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากมงกุฎของ วารุณี แสงศิรินาวิน นางสาวไทยปี พ.ศ.2512 ซึ่งเป็นมงกุฏลักษณะแบบคราวน์สวมครอบบนศีรษะ ผสมผสานกับมงกุฎของ สุจิรา อรุณพิพัฒน์ นางสาวไทยปี พ.ศ.2544 ที่มีฟอร์มสวย ผสานกับรูปกลีบบัว โดดเด่นที่จี้เพชรทรงหยดน้ำห้อยที่ยอดมงกุฎ เมื่อมีการเคลื่อนไหวเพชรทรงหยดน้ำจะสร้างมิติ เปล่งประกายระยิบระยับ เฉกเช่นประกายงามแห่งปัญญา ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของการประกวดปีที่แล้ว
สำหรับมงกุฎนางสาวไทยปี พ.ศ.2552 นี้ ยังคงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับปี 2551 เนื่องจากให้เกิดความสอดคล้อง ต่อเนื่อง และต้องการยึดเป็นต้นแบบเพื่อใช้สำหรับนางสาวไทยยุคใหม่ ที่ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ต่อไปในทุกๆ ปี การออกแบบผสมผสานจากแบบมงกุฎที่เป็นผลงานในอดีตของบุรินทร์ วงศ์สงวน ซึ่งยังคงรูปแบบคราวน์เอาไว้ ด้านหน้าเห็นเป็นยอดมงกุฎที่ลดหลั่นกันไป 3 ยอด ตัวเรือนทำด้วยเงินชุบทองคำขาว ประดับด้วยเพชรและมุกกว่า 1,000 เม็ด ส่องแสงระยิบระยับ มีตราเพชราวุธ ลงยาสีน้ำเงิน อันเป็นสีประจำสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ล้อมด้วยเพชรเพิ่มความโดดเด่นตระการตา ส่วนตรงฐานมีลักษณะคล้ายกลีบบัว ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ และสง่างาม ประดับด้วยไพลิน รอบตัวมงกุฎ มีความสวยงามอย่างลงตัว โดยใช้เวลาทำประมาณ 3 เดือน
มงกุฎอันสง่างาม รางวัลสูงสุดแห่งเวทีนางสาวไทย กำลังรอสาวงามผู้เพียบพร้อมด้วย ความรู้ ความสามารถ จิตใจที่งดงาม มาครอบครอง... ร่วมลุ้น เป็นกำลังใจ ให้พวกเธอได้ในรอบตัดสิน วันที่ 28 ตุลาคม 2552 ณ โรงละครอักษรา ถนนรางน้ำ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ในเวลา22.15 น. ของคืนเดียวกัน