คิดถึงพี่หน่อย..นะกลอยใจพี่ ห่างกันอย่างนี้ น้องคิดถึงพี่..บ้างไหม?
ก่อนอยู่บ้านนาเขาเรียกเธอว่า อ กลอย
พออยู่กรุงเทพมีผ นายร้อยเปลี่ยนจากกลอยมาเป็นแรมจันทร์...
รู้สึกว่าพอเอ่ยชื่อ"กลอย" คงจะคุ้นๆหูกันแทบทุกคนใช่ไหมคะ? อย่างน้อยก็อยู่ในเนื้อเพลงหลายคนเคยร้องติดปาก .........มาหลายสมัยเหมือนกัน...
กลอย ...เป็น...
พืชชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน มีคนนิยมบริโภคกันเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านแบ่งประเภทของกลอยตามลักษณะของลำต้นและ
ตามสีในเนื้อหัวกลอยคือ กลอยข้าวเจ้า ลักษณะของเถาและก้านใบสีเขียว
ส่วนกลอยข้าวเหนียว เถาเป็นสีน้ำตาลอมดำ เมื่อนำหัวกลอยมาปอก
เปลือกและหั่นเป็นแว่นบาง ๆ พบว่ากลอยข้าวเจ้ามีเนื้อสีขาวนวลและ
เนื้อหยาบกว่ากลอยข้าวเหนียว ซึ่งมีสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม เนื้อเหนียว
และรสชาติดีกว่ากลอยข้าวเจ้า ดังนั้นคนจึงนิยมรับประทานกลอยข้าว
เหนียวมากกว่า.........................................................
กลอยทั้งสองมีพิษพอๆกันใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้แต่ต้องระวังในการใช้
ชาวบ้านนิยมทาน หันฝอยบางๆ แล้วหมัก ไม่รู้เขาหมักไว้กี่วัน
จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อนกลมๆ เอามานึ่ง เวลาจะทานก็ขูดมะพร้าวโรยหน้าแล้วเอาน้ำตาลกับเกลือโรยลงไปเล็กน้อย อร่อยดีเหมือนกัน
แต่ถ้านึ่งไม่สุก ก็เป็นอันตรายเหมือนกันทำให้เวียนศรีษะได้
ในหัวกลอยจะมีแป้งมากและมีสารพิษที่ชื่อว่าไดออสคอรีน (Dioscorine) สามารถละลายน้ำได้ดี พิษชนิดนี้จะมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้เกิดอัมพาตหรือหยุดหายใจได้
ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนและความ ต้านทานของแต่ละคน
อาการที่ที่พบได้บ่อยได้แก่ คันที่ปาก ลิ้น คอ คลื่นไส้ อาเจียน มึนเมา วิงเวียน ใจสั่น ตาพร่า อึดอัด และเป็นลม ทั้งนี้ปริมาณสารพิษในหัวกลอยแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกัน จากการทดลองเปรียบเทียบพิษของกลอยที่ขุดมาแต่ละฤดูพบว่า ในเดือนสิงหาคมจะมีปริมาณสารพิษสูงที่สุด
ซึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านเชื่อกันว่ากลอยจะมีพิษสูงสุดตอนที่มีดอก กลิ่นดอกกลอยจะหอมไปทั้งป่า ส่วนในช่วงฤดูร้อนประมาณเดือนเมษายนกลอยจะพิษน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามหากประชาชนนำกลอยมาบริโภคดิบๆ หรือนำมาบริโภคโดยที่ยังเอาสารพิษออกไม่หมดอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
"ในการนำกลอยมาประกอบอาหารจะต้องทำอย่างถูกวิธี โดยต้องใช้ผู้
ชำนาญกำจัดสารพิษออกให้หมด
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าการหักเมา นิยมทำ 2 วิธี คือปอกเปลือกทิ้งแล้ว
หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่ในภาชนะโปร่ง
เช่น ถุงตาข่ายแล้วนำไปแช่ในน้ำไหลประมาณ 3-7 วัน เพื่อให้พิษละ
ลายออกไปแล้วจึงนำมาประกอบอาหาร
ส่วนวิธีที่ 2 อาจใช้หมักกับน้ำเกลือประมาณ 3 วัน ระหว่างนี้ให้เปลี่ยน
น้ำเกลือหลายๆครั้งจึงจะนำมาบริโภคได้
(ควรแช่ 4วันเปลี่ยนน้ำทุกวัน
ตอนเปลี่ยนน้ำเกลือให้บีบคั้นน้ำขาวๆออกด้วย)
คลิกฟังเพลงคิดถึงพี่หน่อย http://charyen.com/jukebox/play.php?id=4273
คลิกฟังเพลงคิดถึงพี่ไหม http://charyen.com/jukebox/play.php?id=20305
ขอบคุณที่มาข้อมูลpcog.pharmacy.psu.ac.th/thi/article1-51.asp -